เปิดใจผู้ป่วยโควิด-19 รพ.สิทธิคิวเต็ม หายากินเอง
การปรับรูปแบบการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 มารักษาในโรงพยาบาล ที่ตัวเองมีสิทธิการรักษาอยู่ เช่น สิทธิ 30 บาท ประกันสังคม และข้าราชการ แต่เมื่อเกิดการระบาดระลอกใหม่ ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ วันนี้ทีมข่าวพีพีทีวีจะพาไปไล่เรียงเรื่องราวของ ผู้ป่วยบางคนที่ไม่ได้รักษาตามสิทธิ นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่ม 608 บางคน เปิดใจยอมรับตามตรงว่า ต้องไปตามหายาโมลนูพิราเวียร์จากประเทศเพื่อนบ้าน หลังไม่ได้รับการจ่ายยาต้านไวรัส
ผู้ป่วยโควิดคนนี้ชื่อ น.ส.ศิริลักษณ์ แสงเปล่งปลั่ง หรือ คุณฝน ซึ่งกักตัวรักษาตัวที่บ้านเป็นวันที่ 7 แล้ว เธอบอกว่า วันนี้ตรวจ ATK ผลตรวจเป็นลบแล้ว แต่ยังจะกักตัวต่อให้ครบ 10 วัน ก่อนหน้านี้เธอรู้ตัวว่า ติดโควิดจากแฟนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตอนแรกคิดว่า จะไม่ไปโรงพยาบาล แต่อาการเริ่มมากขึ้น จึงตัดสินใจไป รักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ ซึ่งเป็นโรงพยาบาล สังกัดสำนักการแพทย์ กทม. เจ้าหน้าที่แจ้งว่า เปิดตั้งแต่ 8.00 -11.00 น. ให้เข้ามาตรวจ และรับยาได้
สายด่วน1330ปรับระบบ เน้นคัดกรอง ช่วยประสานรักษากลุ่ม608
ตอบข้อสงสัย "ติดโควิด" ต้องทำอย่างไร แนะวิธีลงทะเบียนและการปฏิบัติตัว
แต่เมื่อไปถึงเห็นผู้ป่วยยืนรอประมาณหลักร้อยคน เจ้าหน้าที่บอกว่า คิวเต็มตั้งแต่เช้าแล้ว และขอให้กลับมาวันถัดไป
คุณฝนยอมรับว่า ตอนนั้นงง ทำอะไรไม่ถูก และมีความคิดจะไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน แต่เห็น ยาของแฟน ที่ไปรักษากับโรงพยาบาลเอกชน ที่จ่ายให้ผู้ป่วยตามสิทธประกันสังคม ได้แค่ 3 อย่าง คือ ฟ้าทะลายโจร ยาแก้ไอ และยาแก้คัดจมูก จึงตัดสินใจซื้อยากินเองดีกว่า ตามคำแนะนำของเภสัชกรที่ให้กินยาตามอาการ
ผู้ป่วยอีกคนที่ทีมข่าวพีพีทีวีพูดคุยด้วย เป็นอดีตผู้ป่วยโควิดที่ติดกันยกครัว 4 คน พ่อแม่ลูก และเพิ่งหายเมื่อไม่กี่วันมานี้ ตัวแทนของครอบครัวนี้เล่าให้ฟังว่า กว่าจะเข้าระบบการรักษาก็ค่อนข้างยาก เพราะโรงพยาบาลต้องให้ผู้ป่วยไปหาหมอ รับยาด้วยตัวเอง แต่ครอบครัวเธอไม่มีรถยนต์ส่วนตัวจึงลำบากมาก ต้องวานให้ญาติที่อยู่ไกลกันไปนำยามาให้ ที่สำคัญที่บ้านมีผู้ป่วยกลุ่ม 608 ทั้งหมด 3 คน คือ เธอ สามี และลูกชาย มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง แต่มีเพียงเธอ และลูกชาย ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์จากโรงพยาบาลเท่านั้น
ส่วนสามี เมื่อไปหาหมอโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่คนป่วยเพิ่มมาก ไม่ได้รับฟาวิพิราเวียร์ ได้เพียงแค่ยากลับมา 3 อย่าง คือ ยาน้ำแก้ไอ ยาลดไข้ และยาแก้แพ้ แม้จะท้วงว่า ตัวเองเป็นกลุ่ม 608 ควรได้ยาต้านไวรัส แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ไม่มีฟาวิพิราเวียร์แล้ว เธอยอมรับว่า ตอนนั้นกังวลมาก ที่สุดจึงพยายามไหว้วานคนรู้จักหายาโมลนูพิราเวียร์ ให้หิ้วจากประเทศลาวมาให้ ในราคาหลักพันบาท แม้รู้ว่า ผิดกฎหมาย แต่จำต้องยอมทำ เพราะกลัวสามีอาการทรุด
สิ่งที่ผู้ป่วยโควิดทั้ง 2 คน สะท้อนปัญหาให้ฟัง เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ การเข้าถึงระบบการรักษาที่ยาก ต้องออกจากบ้านไปต่อคิว พบหมอแต่เช้า เพื่อรับยาเพียงไม่กี่อย่าง ซึ่งมองว่า ซื้อกินเองดีกว่า อีกทั้งยาต้านไวรัสที่ผู้ป่วยที่ควรจะได้ กลับไม่ได้ จึงเสนอให้รัฐปรับระบบการรักษาให้เข้าถึงง่าย จัดให้มีการส่งยาถึงบ้าน สำหรับคนที่ไม่สะดวกเดินไปโรงพยาบาล รวมถึงควรปลดล็อกให้ยาต้านไวรัส สามารถสั่งจ่ายผ่านร้านยาได้แล้ว
ทีมข่าวพีพีทีวียังไปสำรวจ ARI คลินิก หรือ คลินิกระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลราชวิถี ตั้งแต่เช้า พบว่า ผู้ป่วยโควิด มานั่งเก้าอี้จองคิวแรกตั้งแต่ 6 โมงเช้า ก่อนที่จะเปิดให้บริการถึง 2 ชั่วโมง เพราะหวังเป็นคิวแรกที่จะได้พบหมอ ซึ่งเมื่อมาถึงแล้วจะต้องตรวจสอบสิทธิการรักษาว่า อยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถีหรือไม่ ถ้าหากไม่มีเจ้าหน้าที่จะแจ้งว่า อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง หากผู้ป่วยรับได้ก็จะให้นั่งรอเรียกพบแพทย์ เมื่อพบหมอแล้ว แพทย์ก็จะจ่ายยาตามอาการ
โดยขณะนี้ รพ.ราชวิถี ปรับสูตรยาจากเดิม 7 สูตร เหลือ 4 สูตร คือ ยาตามอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ไม่มียาต้านไวรัส กลุ่มเสี่ยงน้ำหนักต่ำกว่า 90 กิโลกรัม จ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ กลุ่มเสี่ยงน้ำหนักมากกว่า 90 กืโลกรัม จ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ และกลุ่มเสี่ยง 608 จ่ายยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งการจ่ายยา จะขึ้นอยู่กับอาการเป็นหลัก หากพบมีความเสี่ยง และเข้าเกณฑ์ต้องได้ยาต้านไวรัสก็สั่งจ่ายทันที ไม่มีปฏิเสธ
สำหรับภาพรวมการให้บริการที่ ARI คลินิก ขณะนี้นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี ระบุว่า มีผู้ป่วยเฉลี่ยมารักษาวันละ 200 -250 คน หรือบางวันก็พุ่งไปถึง 400 คน แต่ยังรองรับ และให้บริการได้
ก่อนหน้านี้ยอมรับ ผู้ป่วยเพิ่มเกินกำลังของเจ้าหน้าที่ เพราะปรับบางส่วนไปดูแลผู้ป่วยอื่น แต่ตอนนี้ได้เพิ่มอัตรากำลังแล้ว แต่ก็ยังอยากย้ำให้ผู้ป่วย ไปรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิ เพราะขณะนี้พบปัญหาผู้ป่วยหลายคน อยากรักษาในโรงพยาบาลใหญ่ เพราะไม่มั่นใจในโรงพยาบาลตามสิทธิ จึงอยากให้มั่นใจว่า ทุกโรงพยาบาลมีแนวทางการรักษาที่มีมาตรฐานเหมือนกันหมด