“นายก”ไม่ขัดข้องยกเลิกพ.ร.ก ฉุกเฉินหลังลดชั้นโควิด19
‘อนุทิน’ เผยควบคุมโควิด19ได้แล้ว เคาะประกาศเป็นโรคเฝ้าระวัง-ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พวงยุบศบค. รอ ‘นายกฯ’ชี้ขาด ยันสธ.มีแผนรองรับ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ในส่วนของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อฉบับแก้ไข ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเตรียมพิจารณา ส่วนการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากประกาศให้โควิด-19โรคเฝ้าระวังในวันที่ 1 ต.ค.นี้นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นอำนาจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นผู้ยกเลิก
“นายก” นั่งหัวโต๊ะ ศบค.ชุดใหญ่ คาดยกเลิกพ.ร.ก ฉุกเฉิน
“อนุทิน”เผยหลังเสนอ ศบค.ปรับลดชั้นโควิด-19 พ.ร.กฉุกเฉินยังจำเป็น
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะต้องมีการเตรียมตัวอย่างเต็มที่โดยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และในวันนี้จะมีการลดระดับจากโรคติดต่อร้ายแรงลงสู่โรคติดต่อที่เฝ้าระวัง หากจะมีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็น่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ทุกอย่าง ซึ่งหากหากพ.ร.บ.โรคติดต่อฉบับแก้ไขไม่แล้วเสร็จก็จะต้องใช้กฎหมายเดิมที่บังคับใช้อยู่ ย้ำว่าเมื่อสถานการณ์ปัจจุบันมีทั้งวัคซีนและยาเวชภัณฑ์ ซึ่งอัตราการเข้ารับการรักษาและเสียชีวิตลดลง เพียงร้อยละ 0.2 ก็เข้าข่ายเหมือนโรคทั่วไป จึงหมายความว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ โควิด-19 ได้ ดังนั้นทุกอย่างจะผ่อนคลายลงก็ต้องมีการเปิดมาตรการต่าง ๆ ให้เสรีมากขึ้น และลดระดับมาอยู่ที่การเฝ้าระวังและทำความเข้าใจและทำความเข้าใจกับประชาชนให้ป้องกันตนเองจากโรคระบาด และเมื่อยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วจะต้องมีการยุบศบค.ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็จะต้องเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลในการดูแล ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติแต่ที่ผ่านมาเป็นการเกิดเป็นเป็นเหตุการณ์ที่เป็นเหตุการณ์ปกติที่ไม่ปกติจึงต้องมีการบูรณาการทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหา เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นแล้วก็จะต้องกลับมาสู่ภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขที่มีอยู่
ด้าน นายแพทย์อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ศบค. ระบุว่า ขณะนี้สถานการณ์ เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากดูจากจำนวนผู้ป่วยที่เข้าในระบบ จะมีประมาณวันละ 2,000 คน ส่วนคนไข้ ATK ในระบบ วันละประมาณ 30,000 คน และคาดว่ามีคนไข้ที่ไม่เข้าในระบบ ประมาณ 1-2 เท่า ทำให้ภาพรวมขณะนี้ มีคนไข้ประมาณ 60,000 คน ซึ่งอยู่ในระดับนี้มาประมาณ 1 เดือนแล้ว และคาดว่าหลังวันที่ 1 ตุลาคมนี้จะลดลง ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่เข้าในระบบโรงพยาบาลประมาณ 1,000 คนต่อวัน และยอดผู้เสียชีวิตก็ลดลง ก็จะเข้าข่ายกันเป็นโรคเฝ้าระวัง แต่ยังไม่ใช่โรคประจำถิ่น ซึ่งการปรับไปเป็นโรคประจำถิ่นต้องรออีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้นายแพทย์อุดม ย้ำว่า การสวมหน้ากากอนามัยยังเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยการประชุมในวันนี้ จะมีการพิจารณาในประเด็นกรอบนโยบายในช่วงเปลี่ยนผ่าน ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งมีสิ่งที่ต้องทำ 2 เรื่อง คือการเตรียมการให้คนไข้ ได้เข้าถึงการบริการที่สะดวก คล่องตัวและมีประสิทธิภาพมาก พร้อมยอมรับว่าขณะนี้ การเข้าถึงสถานพยาบาล ยังค่อนข้างลำบาก การได้รับยามีปัญหาเรื่องการพบหมอและการได้รับยา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะมีการเสนอต่อที่ประชุม ในเรื่องการเข้าถึงระบบการรักษา
นายแพทย์อุดม ยืนยันว่าขณะนี้มีปริมาณยาที่เพียงพอ ขอประชาชนไม่ต้องกังวล ส่วนการที่ประชาชนไปรับสาบบางสถานพยาบาลแล้วไม่ได้รับยาเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ เพราะมีการกระจายยาไปทั่วประเทศ แต่ยืนยันว่า ขณะนี้ยังมีปริมาณยาที่เพียงพอขออย่ากังวล ทั้งฟาวิพิราเวียร์ และโมนูลพิราเวียร์ และในวันที่ 1 กันยายนนี้ก็จะมีการเปิดให้คนไข้เข้ารับยาที่ร้านยาในเครือข่ายได้ ตามใบสั่งแพทย์ ส่วนคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน ขณะนี้สามารถทำได้อยู่แล้ว
มาตรการพื้นที่สีส้ม-เหลือง จำกัดรวมกลุ่ม ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน
นอกจากนี้ 3 กองทุนหลักยังร่วมกับภาคเอกชนสร้างระบบทางไอทีขึ้นมา 3 แอพำลิเคชั่น ประกอบด้วย คลินิก ซึ่งจะครอบคลุมการให้บริการทั้งประเทศ ทั้งผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวและกลุ่ม 608 ส่วน Application หมอดี ดูแลพื้นที่ทั่วประเทศ กับ Good Doctor ที่จะดูแลเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล จะดูแลเฉพาะคนไข้กลุ่มสีเขียว โดยจะเป็นระบบเทเลเมดิซีน ผู้ป่วยจะได้พบแพทย์ และการสั่งยาผ่านระบบ โดยจะมีการส่งยาไปถึงบ้าน ทำให้สะดวกไม่ต้องเดินทาง
ขณะที่การฉีดวัคซีน แม้หลายคนเข้าใจว่า โรคมีอาการไม่รุนแรง แต่อยากให้เข้าใจว่าสายพันธุ์ บีเอ4 บีเอ5 ยังมีความรุนแรงของเชื้อเท่าเดิม เพียงแต่คนฉีดวัคซีนเยอะขึ้น ทำให้มีภูมิต้านทานในร่างกาย ส่วนความเข้าใจที่บอกว่าเพื่อนติดกันหมดแล้วอยากติดด้วยตนมองว่าเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากการไม่ติดเชื้อดีที่สุด เพราะหากติดเชื้ออาจทำให้เสียชีวิตได้ และหากมีอาการลองโควิดก็จะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว รวมถึงทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะ Booster dose เข็ม 3 และเข็ม 4 พร้อมกับระบุว่าเข็ม 5 นั้นยังไม่จำเป็นเนื่องจากต้องเป็นกลุ่มบุคลากรด้านหน้า
ทั้งนี้หากไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วนั้น หน่วยงานศบค.ก็จะยุบไปพร้อมกัน แต่จะต้องมีการเสริมความเข้มแข็ง ในพ.ร.บ.โรคติดต่อ โดยจะต้องมีหน่วยงานคล้ายกับศบค.เข้ามาดู เพราะเรื่องโรคระบาดไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงสาธารณสุขเพียงกระทรวงเดียว ยังมีกระทรวงมหาดไทยกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และกรุงเทพมหานคร ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็มีกฎหมายของตัวเอง จึงต้องมีหน่วยงาน คล้ายคลึงกับศบค.เกิดขึ้น แต่อำนาจจะไม่แรงเท่าศบค.เดิม พร้อมกับยังระบุอีกว่าการยุบศบค.สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด
นายแพทย์อุดมยังระบุอีกว่า การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และยุบศบค. ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ได้แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบในเบื้องต้นแล้วนอกจากนี้จะมีการหารือในที่ประชุมวันนี้คือทุกคนต้องกลับมาดูแลตัวเอง เนื่องจากโควิดจะไม่หายไปภายในปีนี้ โดยทุกคนจะต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ รวมทั้งประเมินตัวเองว่ามีความเสี่ยง หากสงสัยว่ามีความเสี่ยง ให้ตรวจ ATK และแยกตัวเอง
“อนุทิน” มุ่งปรับโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น เผยยาสำคัญ 2 ชนิด ราคาต่ำลงมาก นำเข้าต่อเนื่อง
“นายก” เตือน ปชช.ตรวจ ATK ก่อนเริ่มงานพรุ่งนี้ ป้องแพร่โควิด-19