“กรมสุขภาพจิต”ยืนยันอ้างป่วยจิตเวชละเว้นความผิดไม่ได้
กรมสุขภาพจิต ชี้ไม่สามารถอ้างความเป็นผู้ป่วยจิตเวชเพื่อละเว้นจากการรับผิดเมื่อก่อคดี ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นประเมินทางนิติจิตเวชประกอบกระบวนการยุติธรรม
จากกรณีสิบตำรวจตรีหญิง ที่อ้างว่าเป็นภรรยาสมาชิกวุฒิสภา กระทำทารุณ ทำร้ายร่างกายทหารรับใช้นานกว่า 2 ปี นำใบรับรองแพทย์อ้างถึงความเป็นผู้ป่วยจิตเวช เพื่อขอละเว้นโทษตามกฎหมาย จนทำให้สังคมเกิดความวิตกกังวลต่อความรับผิดที่ผู้ก่อเหตุควรได้รับนั้นได้สร้างความวิตกในสังคม ถึงการระบุความรับผิดชอบที่ผู้ก่อเหตุควรจะได้รับ กรมสุขภาพจิตชี้การดำเนินคดีกับผู้ก่อคดีที่อ้างความเป็นผู้ป่วยทางจิตแม้จะมีประวัติการรักษาอยู่แล้วก็ ตามกฎหมายมีข้อกำหนดให้ทำการตรวจประเมินทางนิติจิตเวช
โรคซึมเศร้า โรคที่ต้องการยาและคนเข้าใจ มากกว่าผู้ตัดสิน
วิธีดูแลใจลูกยุคโควิด-19 สังเกตสักนิดป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตามมา
เพื่อรับรองสภาวะทางจิตจากสถานพยาบาลประกอบการพิจารณาโทษตามกระบวนการยุติธรรม
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต โดยส่วนมากแล้วผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตทั่วไประดับที่ไม่รุนแรง แม้มีความเสี่ยงในการทำร้ายตัวเองที่สูงกว่าคนทั่วไปก็ตาม แต่ความเสี่ยงในการทำร้ายผู้อื่นมักไม่ต่างจากสถิติในประชากรโดยรวม การด่วนสรุปว่าคดีสะเทือนขวัญต่างๆเกิดจากปัญหาสุขภาพจิตทั่วๆไปเพียงอย่างเดียวนั้น อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ความตื่นตระหนกและอาจสร้างตราบาปต่อผู้ที่กำลังบำบัดรักษาด้านสุขภาพจิตอยู่ในสังคม เพราะในทางปฏิบัติความเจ็บป่วยทางจิตที่จะมีผลต่อการรับโทษ เขียนไว้ชัดเจนในประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 65 ซึ่งผู้ใดกระทำความผิด ในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น เพียงแต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น นั่นหมายถึง ต่อให้มีใบรับรองว่าป่วยทางจิต หรืออยู่ในกระบวนการรักษา ก็ต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าความเจ็บป่วยนั้น ส่งผลต่อความสามารถในการรู้ผิดชอบ หรือการควบคุมตนเองมากน้อยแค่ไหน เช่น ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่รักษาจนบรรเทาแล้วไปก่อคดีฆาตกรรม ก็ไม่สามารถนำมาใช้เป็นเหตุยกเว้นการรับโทษหรือรับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ ซึ่งการตรวจประเมินทางนิติจิตเวชทางการแพทย์เป็นกระบวนการหนึ่ง ศาลจะนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณา
กรมสุขภาพจิตให้ประเมิน 9 ข้อ "โรคซึมเศร้า"
นายแพทย์ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ กล่าวว่า พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 ได้มีการกำหนดกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนโดยทั่วไป ทั้งนี้หากประชาชนท่านใดพบผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ป่วยจิตเวชหรือมีความผิดปกติทางจิต มีภาวะอันตรายหรือจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา สามารถดำเนินการตามมาตรา 26 ที่ได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีฉุกเฉินหากได้รับแจ้งว่ามีบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต หรือพบบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตซึ่งมีภาวะอันตรายและเป็นอันตรายใกล้จะถึง ให้นำผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตส่งสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการ โดยบุคคลที่สามารถนำตัวผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลได้ ได้แก่ (1) พนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักสาธารณสุข (2) พนักงานฝ่ายปกครอง เช่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ปลัดอำเภอ (3) เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ส่วนกรณีที่พบบุคคลที่มีอาการทางจิต แต่ยังไม่ได้กระทำความผิด เช่น เดินพูดคนเดียว บุคคลทั่วไปสามารถแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้นำตัวส่งสถานพยาบาลตามมาตรา 24 อีกด้วย ทั้งนี้ขอให้เชื่อมั่นในการตรวจประเมินทางนิติจิตเวชที่จะสร้างความยุติธรรมให้กับทุกฝ่ายในสังคม ซึ่งหากประชาชนพบบุคคลใกล้ชิด หรือบุคคลทั่วไปที่แสดงอาการผิดปกติหรือมีอาการกำเริบ ให้รีบแจ้งต่อเจ้าหน้าที่หรือโทรขอคำปรึกษาที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 หากมีแนวโน้มความรุนแรงมากและเป็นอันตราย สามารถโทรแจ้งเหตุสายด่วนตำรวจ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน