พบแล้ว 1 คน! โควิดเจเนอเรชัน 3 สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน ระบาดง่ายกว่าเดิม
ศูนย์จีโนมฯพบโควิดเจเนอเรชัน 3 สายพันธุ์ย่อยโอมิครอน BA.2.75.2 ในไทยแล้ว 1 คน หนีภูมิคุ้มกัน-แพร่ได้ดีที่สุดในปัจจุบัน
สถาบันจีโนมประเทศอินเดีย (India's genome sequencing agency, INSACOG) แถลงเตือนว่า โอมิครอน BA.2.75 ซึ่งเริ่มระบาดในอินเดียมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ถึง 82.9% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการที่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านไม่ยอมรับคือ “เซนทอรัส (Centaurus)” หรือมนุษย์ครึ่งคนครึ่งม้าในเทพนิยายกรีก อันมีนัยถึงการกลายพันธุ์ไปมากที่สุดเมื่อเทียบกับไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์อื่นที่เคยมีการระบาดมาก่อนหน้า
โควิดวันนี้ (13ก.ย.65) ยอดคร่าชีวิต-ติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง
1 ตุลาคมนี้ ปรับ “โควิด-19” จากโรคติดต่ออันตราย เป็น “โรคเฝ้าระวัง”
ขณะนี้พบว่าโอมิครอน BA.2.75 ได้มีการกลายพันธุ์ต่อเนื่องไปอย่างไม่หยุดยั้ง หนึ่งในสายพันธุ์ย่อยที่กลายพันธุ์ไปคือ “BA.2.75.2” โดยมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “เซนทอรัส 2.0” เนื่องจากเป็นลูกคนที่สองของ BA.2.75 (ลูกคนแรก คือ BA.2.75.1)
ผู้เชี่ยวชาญภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ทวีตว่า โอมิครอน BA.2.75.2 เป็นสายพันธุ์ที่หลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุดในปัจจุบัน อาจก่อเกิดการหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกัน และแพร่เชื้อได้มากขึ้นไปอีกในอนาคต เป็น “The Super Contagious Omicron Subvariant”
โอมิครอน BA.2.75 กลายพันธุ์มาจาก BA.2 ถือได้ว่าเป็นเจเนอเรชัน 2 ( 2nd generation) โดยมีการกลายพันธุ์ต่างจากไวรัสดั้งเดิม (อู่ฮั่น) 95-100 ตำแหน่ง มีความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาด (relative growth advantage) ประมาณ 37% เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อื่นที่ระบาดอยู่ในอินเดียในปัจจุบัน
โอมิครอน BA.2.75.2 กลายพันธุ์มาจาก BA.2.75 ถือได้ว่าเป็นเจเนอเรชัน 3 ( 3rd generation) โดยมีการกลายพันธุ์ต่างจากไวรัสดั้งเดิม (อู่ฮั่น) 95 -100 ตำแหน่งเช่นกัน แต่มีความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาด (relative growth advantage) ถึง 248% เมื่อเปรียบเทียบกับ BA.2.75 ที่ระบาดอยู่ในอินเดียขณะนี้ ซึ่งพบการระบาดครั้งแรกในประเทศอินเดีย และแพร่ไปยังประเทศ ชิลี อังกฤษ สิงคโปร์ สเปน เยอรมนี และ ประเทศไทย
โอมิครอน BA.2.75.2 มีความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาด (relative growth advantage) ถึง 90% เมื่อเปรียบเทียบกับ BA.5 และ 148% เมื่อเปรียบเทียบกับ BA.4 ที่ระบาดอยู่ทั่วโลก
โอมิครอน BA.2.75.2 มีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนาม 3 ตำแหน่งที่ต่างไปจากโอมิครอน BA.2 และ BA.2.75 คือ S:R346T, S:F486S, S:D1199N
จากการสืบค้นจากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก “GISAID” พบ “โอมิครอน BA.2.75.2” จากประเทศไทยที่อัปโหลดขึ้นมาบน GISAID เพียงรายเดียว ยังไม่สามารถคำนวณความได้เปรียบในการเติบโตและแพร่ระบาด (relative growth advantage) เปรียบเทียบกับโอมิครอน BA.4 และ BA.5 ที่ระบาดในประเทศไทยได้ เพราะจำนวนตัวอย่าง BA.2.75.2 ในประเทศไม่มากพอ
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ มีความจำเป็นที่จะต้องแยกโอมิครอนสายพันธุ์ต่างๆ ออกจากกันให้ได้อย่างรวดเร็ว ภายใน 24-48 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น BA.2, BA.4, BA.4.6, BA.5, BA.2.12.1, BA.2.75, BA.2.75.2 ฯลฯ เพราะการรักษาโควิด-19 เริ่มมีลักษณะมุ่งเป้า (precision medicine) มากขึ้นเป็นลำดับ ต่างจากการรักษาในช่วงต้นของการระบาดในปี 2019 ซึ่งผู้ป่วยทุกรายรักษาเหมือนกัน (One-size-fits-all) เนื่องจากปัจจุบันพบว่า เวชภัณฑ์ อาทิ วัคซีน (เข็มหลัก และ เข็มกระตุ้น) ยาต้านไวรัส และ แอนติบอดีสังเคราะห์ หลายประเภทมีประสิทธิภาพในการป้องกันหรือรักษาไวรัสโคโรนา 2019 แต่ละสายพันธุ์ ที่แตกต่างกัน
ลงนามซื้อ “ไฟเซอร์ฝาม่วงแดง” ฉีดเด็กเล็ก 3 ล้านโดส รับมอบล็อตแรก ต.ค.
สธ.แจงผลวิจัย “ฟาวิพิราเวียร์” ไทยพบยารักษาโควิดกลุ่มอาการน้อยได้