มะเร็งคร่าชีวิตผู้คนในสหรัฐลดลง แต่ “มะเร็งต่อมลูกหมาก” ยังเป็นปัญหา
สมาคมมะเร็งแห่งอเมริกาเผย ภาพรวมอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งในสหรัฐลดลงไปถึง 1 ใน 3 แต่ “มะเร็งต่อมลูกหมาก” ยังเป็นปัญหาใหญ่
สมาคมมะเร็งแห่งอเมริกา (ACS) เปิดเผยข้อมูลใหม่ว่า ช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งของประชาชนในสหรัฐฯ ในภาพรวมลดลงไปถึง 1 ใน 3
ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากมาตรการป้องกันและการตรวจคัดกรองที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต เฉพาะอัตรามะเร็งปากมดลูกกลุ่มหญิงสาวอาวุ 20 ต้น ๆ ก็ลดลงไปถึง 65% เมื่อเทียบระหว่างปี 2012 กับ 2019 เป็นผลจากการที่ประชากรหญิงเข้าถึงวัคซีนป้องกันไวรัส HPV ได้ง่าย
“มะเร็งต่อมลูกหมาก” โรคคุณผู้ชายต้องระวังปัจจัยเสี่ยงก่อนลุกลาม
คุณผู้ชายรู้หรือไม่ ความเครียด-บ้างาน เพิ่มเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
3 สารอาหารคุณค่าดี ช่วยป้องกันโรค "มะเร็งต่อมลูกหมาก"
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์โรคมะเร็งในสหรัฐฯ ที่เหมือนจะดีขึ้นนี้ เรื่องของ “มะเร็งต่อมลูกหมาก” กลับยังเป็นปัญหาใหญ่ในสหรัฐฯ เนื่องจากมีการตรวจคัดกรองน้อยลง ทำให้ประชากรชายจำนวนมากกว่าจะได้รับการวินิจฉัย ก็ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะท้าย ๆ แล้ว
รายงานของ ACS พบว่า มะเร็งต่อมลูกหมากมีอัตราการเกิดและการเสียชีวิตสูงสุดในหมู่ประชากรชายผิวดำ ซึ่งสมาคมฯ จะลงทุนในการวิจัยเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมากและโครงการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการตรวจคัดกรองและการรักษาที่มีคุณภาพ
คาเรน คนุดเซน ซีอีโอของ ACS กล่าวว่า “ต้องมีการเสริมอาวุธอย่างมีนัยสำคัญ ... เราไม่ได้ตรวจพบมะเร็งเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ที่เราจะมีโอกาสรักษามะเร็งต่อมลูกหมากได้”
มะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 ในสหรัฐฯ รองจากโรคหัวใจ โดยมีผู้ป่วยเกือบ 2 ล้านราย และคาดว่าราว 610,000 รายจะเสียชีวิตในปี 2023 นี้ ซึ่งถือว่าลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปีละ 3.8 ล้านคนในปี 1991
ACS กล่าวว่า วัคซีนป้องกัน HPV ซึ่งเป็นไวรัสติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งชนิดอื่น ๆ นั้น มีการอนุมัติใช้ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมาสำหรับประชากรหญิงอายุ 9-26 ปี ทำให้อัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกสำหรับผู้หญิงอายุ 20 ต้น ๆ ลดลงมากกว่าที่คาดไว้
ในส่วนของมะเร็งต่อมลูกหมากที่คาดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ของสหรัฐฯ นั้น เป็นโรคมะเร็งที่ทำให้มีประชากรชายสหรัฐฯ เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปอด และขณะนี้มีอัตราการตรวจพบโรคเพิ่มขึ้นประมาณ 4.5% ต่อปีนับตั้งแต่ปี 2011 และผู้ชายที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะท้ายเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
การเปลี่ยนแปลงมีสาเหตุอย่างน้อยส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงแนวทางการใช้เครื่องมือตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากที่เรียกว่าการทดสอบ PSA
การทดสอบ PSA จะดูระดับของแอนติเจนที่จำเพาะต่อต่อมลูกหมาก (Prostate-Specific Antigen) ที่อยู่ในเลือด ซึ่งในผู้ชายที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและโรคอื่น ๆ จะพบระดับแอนติเจนตัวนี้สูงกว่าคนที่ไม่ได้เป็น
การทดสอบนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990 อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังมีการต้งคำถามถึงการตรวจคัดกรองด้วยวิธีนี้ เนื่องจากเกิดความผิดพลาดในการวินิจฉัย และทำให้มีหลายคนเข้ารับการรักษาหรือผ่าตัดที่ไม่จำเป็นซึ่งอาจเป็นอันตรายได้
ทั้งนี้ ACS มองว่า การคัดกรองมะเร็งติมลูกหมากด้วยวิธี PSA ยังเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในประชากรชายผิวดำ ที่มีอัตราการเสียชีวิตด้วยมะเร็งต่อมลูกหมากสูงกว่าประชากรชายกลุ่มอื่นถึง 2-4 เท่า โดยกำลังแก้ไขแนวทางการคัดกรองและ
ACS แนะนำว่า เพื่อลดความสี่ยงของการวินิจฉัยฟิดพลาด แพทย์สามารถใช้ผลการทดสอบ PSA ร่วมกับเครื่องมือต่าง ๆ เช่น MRI หรือข้อมูลทางพันธุกรรม มาใช้ประกอบการตัดสินใจว่าเจ้าของผลการทดสอบมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจริงหรือไม่ และหาวิธีรักษาที่ดีที่สุด
เรียบเรียงจาก Wall Street Journal
ภาพจาก AFP