สธ.ยันโควิด CH.1.1 อาจหลบภูมิได้ดี แต่แพร่ช้ากว่าสายพันธุ์หลักในไทย
กรมวิทย์ ฯ แจงสายพันธุ์โควิด CH.1.1 อาจหลบภูมิคุ้มกันจาก LAAB แต่แพร่หรือจับกับเซลล์ไม่ดีเท่า BN.1 สายพันธุ์หลักในไทยทำให้ LAAB จึงยังใช้ได้ผล ส่วน XBB.1.5 ที่พบมากในอเมริกา ไม่พบในไทย
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลง อัพเดตสายพันธุ์โควิด 19 ในประเทศไทย ว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีการติดตามเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด19 มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้สายพันธุ์หลักในประเทศคือ โอมิครอนที่มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในลักษณะที่เป็นลูกหลานและมีการผสมกันเองออกมาเป็นพันธุ์ผสมที่เป็นไฮบริด หรือ แม้กระทั่งการผสมกับเดลต้าที่ยังหลงเหลืออยู่ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน เพียงแต่เมื่อกลายพันธุ์แล้วจะมีผลต่อกับการแพร่ระบาดต่อนั้นเอง
โควิด-19 รอบสัปดาห์ ลดต่ำ ติดเชื้อเฉลี่ยวันละ 36 คน เสียชีวิต 4 ราย
สถาบันโรคผิวหนัง เปิดจุดฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19 ตลอด กุมภาพันธ์ 2566
นายแพทย์ศุภกิจ ระบบเฝ้าระวังมีการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจอยู่ตลอดเวลาและรายงานเป็นรายสัปดาห์ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เราตรวจไปประมาณร้อยกว่ารายซึ่งยังเจอตรวจพบสายพันธุ์ BA.2.75 เป็นหลักไม่เปลี่ยน พบ BA.4/BA.5 อยู่เล็กน้อยไม่ถึง 10 % ซึ่งยังต้องเฝ้าระวังเพราะในบางสายพันธุ์อาจรวมอยู่ใน BA.2.75 ที่ยังตรวจขั้นต้นไม่พบ แต่ตั้งหมดจะถูกนำมาถอดรหัสพันธุ์กรรมเพื่อรู้รายละเอียดต่างๆต่อ
โดย องค์การอนามัยโลกได้ให้ความสำคัญกับการติดตาม โอมิครอน 4 สายพันธุ์จากพื้นฐานของข้อมูล ซึ่งในเดือนมกราคม 2566 มีรายงานสายพันธุ์ต่างๆที่ฐานข้อมูลสาก GISAID
- BF.7 พบประมาณ 4.7 % ของทั้งโลก
- BQ.1 พบประมาณ 46.9 % ของทั้งโลก สายพันธุ์ลูกหลานคือ BQ.1.1 ที่พบราย 29%
- BA.2.75 พบประมาณ 13.9 % ของทั้งโลกที่แตกต่างจากสายพันธุ์หลักในไทย
- XBB พบประมาณ 16.3 % ของทั้งโลก ลูกผสมระหว่างเดลต้ากับโอมิครอน
ส่วนสายพันธุ์ โอมิครอน CH.1.1 ลูกหลายของ BA.2.75 ข้อมูลล่าสุดพบเป็น 8 % ของทั่วโลกทั้งหมด ที่หลายคนให้ความสนใจและกังวลนั้นเพราะอาจจะหลบภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป LAAB ได้และแพร่เร็วพอสมควร ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมีมานานพอสมควรตั้งแต่กรกฎาคม 2565 เจอมากขึ้น ในตอนนี้ราว 67 ประเทศ รวมถึงบ้านเราด้วย โดยยอมรับว่าเป็นสายพันธุ์นี้สูงในเชิงหลบภูมิ แต่การไปจับกับเซลล์ไม่ได้มากอะไร ส่วนในไทย BN.1 ลูกหลาน BA.2.75 ที่พบสูงในไทยกว่า 70-80% จับเซลล์ได้ดีกว่า แต่หลบภูมิน้อยกว่าเล็กน้อย 2 ตัวนี้เลยสูสี โอกาสที่จะเห็น XBB.1.5 หรือ CH.1.1 ที่เข้ามาเบียดอย่างรวดเร็วอาจจะไม่เกิดขึ้น สำหรับประเทศไทยเราเจอ CH.1.1 มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้โดดเด่นอะไรซึ่งพบมากสุดคือ CH.1.1.3 ที่เป็นลูกหลานอีกที
สำหรับผลตรวจ RT-PCR วัตถุประสงค์คัดกรองก่อนเดินทางออกนอกประเทศ ระหว่าง วันที่ 8 ม.ค. - 3 ก.พ. 2566 ขณะนี้ตรวจ 2,022 ราย คนไทยติดเชื้อ 1.79% คนจีนเฉลี่ย 4.2% อินเดียไม่ค่อยเจอ แต่ตรวจน้อยกว่าชาติอื่น และสัญชาติอื่นๆ อีก 3.43% โดยทั้งหมดจะมาตรวจสายพันธุ์แต่ต้องใช้เวลาในการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว ส่วนแนวโน้มเป็นสัปดาห์ อัตราที่พบลดลงเกือบทั้งหมด อย่างสัญชาติอื่นๆ จากสัปดาห์แรกเคย 10 กว่า% ลดลงเหลือ 1% กว่าๆ สัญชาติจีนจาก 7% เหลือ 2% กว่า ไทยก็ลดลงสัปดาห์สุดท้ายไม่เจอด้วยซ้ำ สถานการณ์โดยรวมไม่น่าจะมีปัญหา
อัปเดต! จุดฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19 กุมภาพันธ์ 2566
สรุป XBB.1.5 ที่ระบาดมากในอเมริกาและเราก็กลัว เพราะหลบภูมิได้ค่อนข้างสูง ยังไม่มีในบ้านเรา บ้านเรายังเป็น BN.1 มากที่สุด โดยเฉพาะ BN.1.3 ส่วน CH.1.1 ที่หลบภูมิ แต่จับกับเซลล์ได้ไม่ดี ก็พบบ้างในบ้านเรา สะสมประมาณ 200-300 ราย สถานการณ์ไม่ได้เยอะมากขึ้น เรายังเฝ้าระวังอย่างเข้มแข็งต่อไป หากมีปัญหาเราจะตรวจจับได้ เรารายงานไปยัง GISAID เสมอเพื่อให้ภาพสมบูรณ์ที่สุด
นายแพทย์ศุภกิจ ยอมรับว่ายังต้องเฝ้าระวังอีก พักหนึ่งใหญ่ๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีอะไร ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยหลักการของไวรัส ยิ่งติดเชื้อคือเพิ่มจำนวนในคนใหม่มากขึ้นเท่าไร โอกาสผิดเพี้ยนไปจากเดิมก็มี แต่ความรุนแรงไม่น่าจะเพิ่มขึ้นแล้ว การไปตรวจเยอะในชั้นต้นอาจต้องออกแรงมหาศาล ซึ่งไม่มีความจำเป็นในตอนนี้ ยกเว้นหากมีสัญญาณของปัญหา
ผู้ป่วยมะเร็งต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19 หรือไม่ ? เพราะอะไรถึงต้องฉีด?
ศูนย์การแพทย์บางรัก ให้บริการวัคซีนโควิด19 ชาวไทย ฟรี - ด้าน นทท.เสียเงิน