รู้จัก“โรคใหลตาย”อาการนอนหลับไม่ตื่น อันตรายถึงชีวิต
40 คนต่อแสน! เพจ Drama-addict เผยสถิติ “อาการใหลตาย”โรคที่พบมากในไทย ขณะที่หลายสถาบันการแพทย์ชี้หากรู้ตัวก่อนอาจป้องกันได้
นับเป็นเรื่องช็อกวงการบันเทิงไทย เมื่อต้องสูญเสียนักแสดงวัยรุ่นหนุ่มมากฝีมือ “บีม – ปภังกร ฤกษ์เฉลิมพจน์” พระเอกซีรีย์ดังเรื่อง “เคว้ง” โดยเจ้าตัวเหมือนหลับไปแล้วคนปลุกแต่ไม่ตื่น จึงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เวลาเห็นข่าวแบบนี้หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า จะเกี่ยวพันกับ “โรคใหลตาย” หรือไม่ เพราะภาวะอาการคล้ายกับโรคดังกล่าว ทีมข่าว PPTV news ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาวะใหลตาย ซึ่งพบบ่อยในคนเอเซีย โดยเฉพาะผู้ชายอายุน้อย ดังนี้
คนบันเทิงร่วมอาลัย “บีม ปภังกร” จากไปในวัย 25 ปี
เศร้า “บีม ปภังกร” นักแสดงจากซีรีส์ดัง “เคว้ง” เสียชีวิตแล้ว
“ใหลตาย” ความตายที่ไม่รู้ตัว
“โรคใหลตาย” หรือ Sudden Unexplained Nocturnal Death Syndrome (SUND) คือ การเสียชีวิตขณะนอนหลับ มักมีอาการคล้ายหายใจไม่สะดวกและอาจเกิดเสียงร้องคล้ายละเมอก่อนเสียชีวิต (เป็นที่มาของคำว่าใหล ที่หมายถึงละเมอ) ทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะขั้นรุนแรงและเสียชีวิตกระทันหัน พบบ่อยในผู้ชายวัยหนุ่มที่ปกติแข็งแรงดีก่อนเข้านอนและพบว่าเสียชีวิตในตอนเช้าวันถัดไป
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยที่รอดชีวิต พบว่า ใหลตายมีความสัมพันธ์กับความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจลักษณะบรูกาดา (Brugada pattern) หรือหัวใจเต้นระริก คือ ไม่มีการบีบตัวเลย ทำให้หัวใจเปรียบเสมือนหยุดเต้น หากช่วยเหลือไม่ทัน ไม่กี่นาทีก็เสียชีวิต ขณะที่โครงสร้างและการทำงานส่วนอื่น ๆ ของหัวใจไม่พบความผิดปกติ ทางการแพทย์เรียกกลุ่มอาการนี้ว่า “กลุ่มอาการบรูกาดา (Brugada syndrome)”
ที่ผ่านมาจะพบข่าวโรคใหลตายบ่อยครั้ง โดยเฉพาะแถบทางภาคอีสาน หรืออย่างกรณีแรงงานชาวอีสานไปทำงานที่สิงคโปร์และเกิดอาการใหลตายมากถึง 161 ราย ซึ่งจริง ๆ แล้วโรคนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะคนอีสาน แต่พบได้ทั่วโลก ทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่จะพบบ่อยในทางเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ง ฟิลิปปินส์ พม่า ลาว ก็พบเช่นกัน
อาการใหลตายเป็นอย่างไร
อาการใหลตายเกิดจากหัวใจที่เต้นผิดจังหวะขั้นรุนแรงที่สุด ทำให้ไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะสมองได้ เมื่อสมองขาดออกซิเจนอาจแสดงอาการชักเกร็ง หายใจครืดคราดผิดปกติคล้ายนอนละเมอ เรียกไม่รู้ตัว โดยความผิดปกติมักพบในขณะนอนหลับ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตถ้าการเต้นผิดจังหวะของหัวใจนั้นเกิดนานพอและไม่ได้รับการรักษา แต่ผู้ป่วยอาจจะรอดชีวิตฟื้นขึ้นมาได้กรณีที่การเต้นผิดจังหวะของหัวใจหยุดเองหรือได้รับการรักษาที่เหมาะสมอันได้แก่การช็อคหัวใจหรือการปั๊มหัวใจ
นอกจากใหลตายจะพบบ่อยขณะที่ผู้ป่วยหลับแล้ว ก็ยังอาจพบได้ในขณะตื่นเช่นกัน โดยอาการที่เกิดอาจเกิดอาการใจสั่นช่วงสั้น ๆ หรืออาการวูบเป็นลมหมดสติได้
ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงโรค
มักพบในเพศชายวัยทำงาน อายุ 25-55ปี แต่ก็สามารถพบได้ทั้งในเพศหญิงในเด็กหรือในผู้สูงอายุได้เช่นกันสำหรับในประเทศไทย พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และรองลงมาในภาคเหนือ
จะสงสัยว่ามีความเสี่ยงต่อใหลตายเมื่อไร
- ผู้ที่รอดชีวิตจากอาการใหลตาย อาจเนื่องจากอาการใหลตายหยุดเองหรือได้รับการรักษาที่ทันท่วงที
- ผู้ที่มีญาติสายตรงเสียชีวิตเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุแต่ลักษณะอาการเข้าได้กับใหลตาย เนื่องจากพบว่าใหลตายมีความสัมพันธ์กับความผิดปกติในหน่วยพันธุกรรมหรือยีนที่มีผลต่อการควบคุมประจุไฟฟ้าในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจและความผิดปกตินี้อาจส่งต่อไปในญาติสายตรงของผู้ป่วยใหลตายได้
- ผู้ที่ตรวจพบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจชนิดบรูกาดา แม้จะไม่มีประวัติอาการใหลตายหรือประวัติครอบครัว
ปัจจัยเสี่ยงก่อโรค
- ความเครียด
- ความวิตกกังวล
- การพักผ่อนไม่พอเพียง
- การออกกำลังกายหักโหม
- การสูบบุหรี่
- ดื่มน้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลมที่มีสารคาเฟอีน
- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- การรับประทานยาหรือฉีดยาที่กระตุ้นหัวใจ
- อาหารที่มีรสเค็มจัด
การรักษาโรค
ยังไม่มีการรักษาใดที่สามารถป้องกันหรือหยุดการเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ทั้งหมด การรักษาจึงมุ่งหวังให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะน้อยครั้งที่สุดและสั้นที่สุดก่อนที่ผู้ป่วยจะหมดสติหรือเสียชีวิต โดยมีวิธีการดังนี้
- ลดและเลี่ยงปัจจัยส่งเสริมที่กล่าวมาข้างต้น เช่น ถ้ามีไข้สูง ควรใช้ยาลดไข้, ลดและเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น
- การใส่เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (automatic implantable cardioverter defibrillator : AICD) เข้าไปในร่างกาย
- การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง
ใครควรใส่เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AICD)
- ผู้ที่รอดชีวิตจากใหลตาย
- ผู้ที่มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติชนิดบรูกาดาและเคยมีหลักฐานการตรวจพบว่ามีหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้ว
- ผู้ที่มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติชนิดบรูกาดาร่วมกับมีประวัติครอบครัวเสียชีวิตจากใหลตาย หรือมีประวัติวูบที่สงสัยว่าเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ
สำหรับผู้ที่มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติชนิดบรูกาดาจากการกระตุ้นด้วยยา หรือผู้ที่มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติชนิดบรูกาดา แต่ไม่มีประวัติครอบครัวเสียชีวิตจากใหลตายหรืออาการวูบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงเพิ่มเติมโดยละเอียดเพื่อพิจารณาประโยชน์ของการใส่ AICD
สำหรับการทำงานของ AICD จะทำงานเมื่อพบคลื่นไฟฟ้าหัวใจเต้นผิดปกติ เครื่องก็เข้ามาช็อกให้หัวใจเต้นเป็นปกติ โดยมีผลการศึกษาแสดงประสิทธิผลชัดเจนว่าลดอัตราการตายได้ 0%
อย่างไรก็ตามเครื่องดังกล่าว มีข้อจำกัด คือ สามารถช็อกได้ประมาณ 200 ครั้งเท่านั้น ดังนั้นหากผู้ป่วยเกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะบ่อยก็ต้องเปลี่ยนแบตเตอรีบ่อยครั้ง ที่สำคัญการรักษาดังกล่าวไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ จึงมีการพัฒนาการรักษาที่ต้นเหตุ คือ “การจี้ผังพืดหัวใจด้วยคลื่นวิทยุ”
ใครควรจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (RFA)
การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง ช่วยลดจำนวนครั้งของการเกิดหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้วได้ แต่จะทำในผู้ป่วยที่เกิดการกระตุกของเครื่อง AICD บ่อยครั้ง เนื่องจากมีหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้วบ่อยๆ เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและยืดอายุการทำงานของ AICD
การรักษาด้วยวิธีนี้ จะใช้สายสวนหัวใจเข้าไปโดยใช้ความร้อนจี้ตรงที่มีปัญหาให้หายไป ซึ่ง 85 - 90% สามารถทำสำเร็จได้ด้วยการจี้ครั้งเดียว แต่บางคนที่เป็นเยอะอาจต้องกลับมาจี้ซ้ำประมาณ 10 - 15%
แนวทางการรักษาด้วยวิธีนี้ ได้ทำมาประมาณกว่า 10 ปีแล้ว และอันตรายจากการจี้ด้วยพลังงานความร้อนเท่าคลื่นวิทยุ มีน้อยมาก เพราะคลื่นไฟฟ้าที่ใช้มีกระแสไฟฟ้าต่ำประมาณ 40-60 โวล์ท ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่เนื้อเยื่อหัวใจอุณหภูมิ 55-60 องศาเซลเซียส พลังงานนี้จะไม่กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจหรือปลายประสาท ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บหน้าอกเพียงเล็กน้อย จึงสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่ต้องวางยาสลบ
โดยในเมืองไทยได้รักษาผู้ป่วยด้วยวิธีแล้วกว่า 70 ราย ซึ่งผลลัพธ์ออกมาพบว่า อาการคลื่นไฟฟ้าผิดปกตินั้นหายไป ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และจากการติดตามต่อเนื่องมา 4 - 5 ปี ก็ไม่พบการเกิดอาการคลื่นหัวใจเต้นผิดปกติ และผู้ป่วยบางรายก็สามารถถอดเครื่อง AICD ออกได้
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
กรณีเราพบผู้อยู่ในภาวะหลับแล้วปลุกไม่ตื่น สามารถปฐมพยาบาลได้ดังนี้
- จับผู้ป่วยนอนราบ ระหว่างรอรถพยาบาล
- ประเมินผู้ป่วย หากไม่หายใจหรือชีพจรที่คอไม่เต้น ให้กดหน้าอกยุบลงราว 1.5 นิ่ว แล้วปล่อยให้คลายตัวเป้นชุดความถี่ราว 100 ครั้ง/นาที จนผู้ป่วยรุ้ตัว
- ไม่ควรงัดปากคนไข้ด้วยของแข็ง เพราะอาจเป็นอันตรายและระลึกเสมอว่าคนที่เป็นโรคใหลตาย อาจจะมีโรคอื่นของสมอง เช่น ลมชัก โรคหัวใจที่อาจเป็นเหตุให้หมดสติได้
ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก Drama-addict ได้เปิดเผยตัวเลขการพบโรคใหลตายในคนไทย ระบุว่า โรคนี้พบในคนไทยเยอะมาก จากสถิติอยู่ที่ 40 คนต่อ 100,000 คน ปัจจุบันกำลังมีสถาบันวิจัย ศึกษาพันธุกรรมคนไทย เพื่อศึกษาโรคนี้อยู่
ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของนักแสดงหนุ่มมากความสามารถนั้น ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด ต้องรอติดตามผลการชันสูตรต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก
กรมสุขภาพจิต
ศูนย์โรคหัวใจโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
โรงพยาบาลกรุงเทพ