สปสช. เห็นชอบข้อเสนอ งบกองทุน สปสช. 2569 วงเงิน 2.72 แสนล้านบาท
บอร์ด สปสช. เห็นชอบข้อเสนอ “งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2569” วงเงินกว่า 2.72 แสนล้านบาท งบเหมาจ่ายรายหัว 4,298.24 บาท ดูแลคนไทยผู้มีสิทธิ 47.50 ล้านคน พร้อมจัดสรรงบ 2.1 หมื่นล้านบาท หนุนนโยบายสุขภาพของรัฐบาล 26 รายการ และกว่า 1.2 พันล้านบาท เพิ่มสิทธิประโยขน์ใหม่ 10 รายการ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบ “ข้อเสนองบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2569” ตามมติคณะอนุกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ นำเสนอโดย นางมานิดา ภู่เจริญ ประธานอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการ และให้ สปสช. เสนอต่อ ครม. พิจารณาตามมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ต่อไป
การดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องการดูแลสิทธิและการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็นให้กับคนไทย ในวันนี้บอร์ด สปสช. ได้เห็นชอบข้อเสนองบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2569 วงเงินงบประมาณจำนวน 272,583.32 ล้านบาท ในจำนวนนี้แยกเป็นงบเหมาจ่ายรายหัวจำนวน 204,174.99 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 4,298.24 บาทต่อประชากร เพื่อดูแลประชากร 47.50 ล้านคน และงบค่าบริการนอกงบเหมาจ่ายรายหัวจำนวน 68,408.32 ล้านบาท เมื่อหักเงินเดือนภาครัฐในระบบปกติจำนวน 71,446.45 ล้านบาท จะเหลือเป็นงบประมาณที่ให้ สปสช. บริหารทั้งสิ้นจำนวน 201,136.87 ล้านบาท
ทั้งนี้ งบประมาณที่นำเสนอในปีนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณ 2568 ได้เพิ่มขึ้นจำนวน 36,196.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.51 โดยงบเหมาจ่ายรายหัวจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 442.16 บาท
ในส่วนงบค่าบริการนอกงบเหมาจ่ายรายหัว จำนวน 68,408.32 ล้านบาท ได้ขอเพิ่มเติมจากปีที่ผ่านมาจำนวน 13,862.97 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25.42 เพื่อใช้สำหรับรายการ ดังต่อไปนี้ ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์จำนวน 4,574.06 ล้านบาท ค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังจำนวน 16,074.98 ล้านบาท ค่าบริการควบคุม ป้องกัน และรักษาโรคเรื้อรังจำนวน 1,584.95 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 1,490.29 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิและหน่วยนวัตกรรมจำนวน 4,188.96 ล้านบาท
ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล เมืองพัทยา และกรุงเทพฯ จำนวน 4,110.35 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนจำนวน 6,267.29 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จำนวน 541.07 ล้านบาท เงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการและผู้ให้บริการจำนวน 562.23 ล้านบาท ค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคทั่วไปจำนวน 27,761.92 ล้านบาท และค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและควบคุมป้องกันโรคไม่ติดต่อ (NCDS) จำนวน 1,252.27 ล้านบาท
นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบกรอบวงเงินสำหรับยา วัคซีน เวชภัณฑ์ อวัยวะเทียม อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นตามโครงการพิเศษที่ให้เครือข่ายหน่วยบริการด้านยาและเวชภัณฑ์จัดหาให้ปีงบประมาณ 2569 อาทิ ยาจำเป็น (ยา จ.2 ยา CL ยากำพร้า ยาต้านพิษ) อุปกรณ์และอวัยวะเทียม รากฟันเทียม ชุดประสาทหูเทียม ยาเอชไอวี น้ำยาล้างไตผ่านช่องท้อง วัคซีน และถุงยางอนามัย เป็นต้น รวมเป็นงบประมาณจำนวน 13,617.10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.2 จากปีที่ผ่านมา
“ในปี 2569 รัฐบาลมีนโยบายที่มุ่งมั่นยกระดับการดูแลสุขภาพให้กับประชาชน ทั้งการต่อยอดนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ลดโรคไม่ติดต่อที่สำคัญ จัดบริการสุขภาพเชิงรุก บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เป็นต้น เหล่านี้ส่วนหนึ่งจะขับเคลื่อนภายใต้งบประมาณกองทุนบัตรทองฯ ที่เป็นข้อเสนองบประมาณปี 2569 ซึ่งบอร์ด สปสช. เห็นชอบวันนี้ โดยผมจะนำเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป” รมว.สาธารณสุข กล่าว
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณกองทุนบัตรทองปีงบประมาณ 2569 เป็นการดำเนินการภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ที่เป็นร่มใหญ่ ร่วมกับยุทธศาสตร์ แผนพัฒนา แผนปฏิรูปประเทศ นโยบายรัฐบาล/รมว.สาธารณสุข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 แผนปฏิบัติราชการ สปสช. ฉบับที่ 5 (ทบทวนปี 2568) และผลจากการรับฟังความคิดเห็น เป็นต้น และคำนึงถึงต้นทุนบริการที่เหมาะสม อัตราเงินเฟ้อ ประชากรที่เปลี่ยนแปลง ปริมาณบริการที่เพิ่มขึ้น การสนับสนุนนโยบายรัฐบาล สิทธิประโยชน์ใหม่ เทคโนโลยีทันสมัยและสิ่งแวดล้อม และเพิ่มคุณภาพบริการให้กับประชาชน
ส่วนของการสนับสนุนนโยบายด้านสุขภาพของรัฐบาลภายใต้งบประมาณกองทุนฯ ปี 2569 มีจำนวน 26 รายการ เป็นวงเงินจำนวน 21,058.58 ล้านบาท อาทิ บริการระบบการแพทย์ทางไกลที่เพิ่มเติมการดูแลคนไทยในต่างแดน ห้องพยาบาลอิเล็กทรอนิกส์ในโรงเรียน และตู้ห่วงใย, บริการหน่วยนวัตกรรม 7 ประเภท, บริการสร้างเสริมป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) บริการลดการนอนในโรงพยาบาลในผู้ป่วยโรคหอบหืด ศูนย์ให้คำปรึกษาจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชน สายด่วนสุขภาพจิต สายด่วนเลิกบุหรี่ พอกเข่าโดยสมุนไพร การดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงระยะยาวในชุมชนให้มี Caregiver การตรวจคัดกรองโรคด้วยตนเอง ทั้งโรคพยาธิใบไม้ตับ เอชไอวี และเอชพีวี, วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในเด็กหญิงชนิด 9 สายพันธุ์ ตลอดจนบริการสุขภาพกลุ่มคนข้ามเพศ เป็นต้น
นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า ไม่เพียงเท่านี้จากข้อเสนอต่างๆ ที่ สปสช. ได้รับฟังในปีที่ผ่าน ดังนั้นปี 2569 จะมีสิทธิประโยชน์ใหม่ 10 รายการ รวมวงเงิน 1,276.54 ล้านบาท ได้แก่ สายด่วนเลิกเหล้า, สายด่วนท้องไม่พร้อม/สายด่วนวัยรุ่น, ธนาคารนมแม่, วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบในเด็ก (PCV), วัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี, การตรวจคัดกรองโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน, การตรวจคัดกรอง Autistic disorder ด้วยเครื่องมือ TDAS, ชุดตรวจ Microalburnin ในปัสสาวะเพื่อตรวจคัดกรองติดตามโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกช้อนจากเบาหวาน, การดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ให้เข้าสู่เบาหวานระยะสงบและบริการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดในชุมชน