แนะอาหารสำหรับผู้ป่วยโควิด พร้อมวิธี "กิน-บริหารร่างกาย-นอน" ต้านโรค
กรมอนามัย แนะกินถูกหลักโภชนาการ บริหารร่างกายให้แข็งแรง นอนหลับเพียงพอ ช่วยต้านโควิด-19
นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการคาดการณ์เป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข ในเดือนกรกฎาคมนี้ เข้าสู่ Post pandemic หรือการประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้ง ATK และ RT-PCR มีแนวโน้มลดลงน้อยกว่าวันละ 20,000 คน และจำนวนผู้เสียชีวิตรายใหม่ในแต่ละวันยังคงมีจำนวนคงที่ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งจากผลสำรวจอนามัยโพลเกี่ยวกับพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 ระหว่างวันที่ 1 - 22 เมษายน 2565 พบว่า
กรมอนามัยแนะ 6 วิธี ทำงานให้ปลอดภัยจากโควิด-19
คนไทยติดหวาน เสี่ยง NCDs แนะลดน้ำตาล ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด
หลังสงกรานต์ประชาชนให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโควิด-19 ด้วยการสวมหน้ากาก ร้อยละ 95 ล้างมือบ่อย ๆ ร้อยละ 90 เว้นระยะห่าง ร้อยละ 84 ตรวจ ATK เมื่อมีความเสี่ยงร้อยละ 84 ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัส ร้อยละ 78 และสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นในบ้าน ร้อยละ 72
“สำหรับประชาชนบางส่วนที่ไม่ได้ปฏิบัติหรือปฏิบัติได้บางครั้ง ได้แก่ ไม่ได้สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่อไปที่สาธารณะ เนื่องจากหายใจค่อนข้างลำบาก อากาศร้อน และไม่ตรวจ ATK เพราะคิดว่าไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยง รวมถึงเมื่ออยู่ในบ้านไม่ได้สวมหน้ากาก เพราะไว้ใจคนในครอบครัว หายใจลำบาก หรือคนในบ้านติดเชื้อหมดแล้ว โดยหลังสงกรานต์ สิ่งที่ประชาชนเฝ้าระวังคือ สังเกตอาการตนเอง ร้อยละ 79.9 งดกินข้าวร่วมกับผู้อื่น ร้อยละ 38.7 และทำงานที่บ้าน ร้อยละ 18.1 จึงขอเน้นย้ำ ให้ประชาชนยังต้องเฝ้าระวังและป้องกันตนเอง โดยปฏิบัติตามหลัก Universal Prevention อย่างเคร่งครัด และสร้างภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติด้วยการกินที่ถูกหลักโภชนาการ และมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ทางด้าน ดร.แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าวว่า การศึกษาวิจัยของทีมวิจัยจาก Harvard และ King's College ติดตามกลุ่มประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไป ในสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา จำนวน 592,571 คน พบว่ากลุ่มที่กินอาหารที่มีผัก ผลไม้ ธัญพืช เป็นส่วนใหญ่ในมื้ออาหาร จะมีความเสี่ยงติดเชื้อลดลง ร้อยละ 9 และมีอาการรุนแรงจากการติดเชื้อลดลง ร้อยละ 41 เมื่อเทียบกับกลุ่มที่เน้นบริโภคอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่มีผักน้อย
และการศึกษาข้อมูลอาหารของบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 568 ราย และกลุ่มควบคุม 2,316 ราย ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่มีกินอาหารที่มีพืชผักผลไม้เป็นหลัก มีความเสี่ยงที่จะมีอาการปานกลางถึงรุนแรงลดลง ร้อยละ 73 สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกปี 2563 ได้แนะนำให้กินอาหารที่หลากหลาย รวมทั้งผักและผลไม้สดทุกวัน ควรกินธัญพืชเต็มเมล็ด กินโปรตีนจากพืชและสัตว์ กินปลา ไข่ นม ลดการบริโภคเกลือหรือกินเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน โดยเลือกใช้เกลือไอโอดีน จำกัดการบริโภคน้ำตาล ของหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เพราะน้ำตาลจะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง โดยแนะนำให้กินไขมัน และน้ำมัน ในปริมาณปานกลาง เลือกแหล่งอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ปลา ถั่ว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นต้น เลี่ยงการกินอาหารแปรรูป หรือเนื้อสัตว์แปรรูป เพราะจะมีปริมาณไขมัน และเกลือสูง ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8-10 แก้ว และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อาหารสำหรับผู้ป่วยติดโควิดหรือผู้ที่มีอาการลองโควิด
- อาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ปลา นม ไข่ ซึ่งปลามีโอเมก้า 3 จะช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัสในเซลล์ได้ และเน้นผัก ผลไม้ 400 กรัมต่อวัน
- เลี่ยงอาหารแปรรูปต่าง ๆ
- อาหารที่บำรุงปอด เช่น ขิง พริกหวาน แอปเปิ้ล ฟักทอง ขมิ้นชัน มะเขือเทศ ธัญพืช น้ำมันมะกอก หอยนางรม และเบอร์รี่
- กินอาหารให้ถูกต้องตามธงโภชนาการ โดยกินผัก วันละ 4-6 ทัพพีต่อวัน ผลไม้วันละ 3-5 ส่วน
ตัวอย่างเมนูอาหารตามธงโภชนาการใน 1 วัน ประกอบด้วย
- อาหารเช้า ข้าวกล้องต้มปลา
- อาหารว่างเช้า นมรสจืด พร่องมันเนย
- อาหารกลางวัน ราดหน้าทะเลใส่คะน้า
- อาหารว่างบ่าย ขนมจีบหมู 2 ชิ้น แตงโมหั่นสามเหลี่ยม 2 ชิ้น
- อาหารเย็น แกงส้มผักรวม และข้าวกล้อง
ทั้งนี้ การเลือกซื้ออาหารควรอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้ง โดยใช้ Application Food Choiceในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และ Application หวานน้อยสั่งได้ ช่วยให้เลือกร้านเครื่องดื่มที่ดูแลสุขภาพได้
ทางด้าน นายแพทย์อุดม อัศวุตมารกุร ผู้อำนวยการกองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า จากสถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอของประชากรไทย ในปี 2562 พบว่า มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ ร้อยละ 74 แต่ในปี 2563 เกิดสถานการณ์โรคโควิด-19 ประชาชนส่วนใหญ่ทำงานที่บ้าน ทำให้มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ ร้อยละ 54 และในปี 2564 พบว่า วัยทำงานมีกิจกรรมทางกายเพียงพอ ร้อยละ 66 ส่วนวัยผู้สูงอายุ ร้อยละ 58 ประชาชนจึงควรมีกิจกรรมทางกาย มีการเคลื่อนไหวร่างกาย และออกกำลังกายอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะวัยทำงานส่วนใหญ่จะนั่งทำงานนานถึง 8 ชั่วโมง สามารถมีกิจกรรมทางกายง่าย ๆ เช่น การเดินขึ้น-ลง บันได แทนการใช้ลิฟต์ เดินทางด้วยการเดินหรือปั่นจักรยานเพิ่มขึ้นจะทำให้มีการออกแรงที่เหมาะสม
ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้มีกิจกรรมทางกาย อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาทีต่อวัน และสร้างกล้ามเนื้อ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยเวทเทรนนิ่ง เช่น ยกน้ำหนัก ซิทอัพ ส่วนผู้สูงอายุให้ฝึกการทรงตัว เช่น การเต้นแอโรบิค รำไทชิ เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรมีสุขอนามัยการนอนหลับที่ดี ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้
1) ควรเข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน
2) รับแสงแดดให้เพียงพอในตอนเช้าอย่างน้อย 30 นาที
3) ไม่นอนในเวลากลางวัน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ควรเกิน 30 นาที
4) ออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ก่อนนอน 2 ชั่วโมง ไม่ควรออกกําลังกาย
5) หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน และอาหารมื้อดึก อย่างน้อย 4 ชั่วโมง ก่อนนอน
6) งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 4 ชั่วโมง ก่อนนอน
7) นอนเตียงนอนที่สบาย อากาศถ่ายเท ไม่มีแสงเล็ดลอด และเสียงรบกวน
8) ผ่อนคลายเพื่อลดความวิตกกังวล เช่น การนั่งสมาธิ
9) ใช้ห้องนอนเพื่อนอนเท่านั้น ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือกินอาหารบนเตียงนอน
10) หากนอนไม่หลับภายใน 30 นาที ควรลุกไปทำกิจกรรมอื่น ๆ แล้วกลับมานอนใหม่อีกครั้งเมื่อง่วง
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดโครงการก้าวท้าใจ Season 4 โดยมี Application ก้าวท้าใจ เป็นเครื่องมือช่วยให้ประชาชนมีกิจกรรมทางกายอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถลงทะเบียนผ่าน line id : @thnvr และรับการประเมิน BMI ในเบื้องต้น รวมถึงรับข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ได้แก่ อาหาร การตรวจมะเร็งเต้านม คลิปวิดีโอการออกกำลังกายต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เช็กวันหยุดเดือนพฤษภาคม 2565 มีวันไหนบ้าง
โควิดไทยวันนี้อยู่อันดับ 24 ของโลก เช็ก 10 จังหวัดป่วยสูงสุด