จากกรณี คณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ บอร์ดดีเอสไอ มีมติรับพิจารณาคดีฮั้วเลือก สว. 2567 เป็นคดีพิเศษ โดยมีเสียงเห็นชอบเป็นคดีพิเศษ 11 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง หลังพิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน ตามกฎหมายสอบสวนคดีพิเศษ
ซึ่งก่อนหน้านี้ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีการชง 3 ข้อหาคดีฮั้วเลือก สว. คือ 1.อั้งยี่ ซ่องโจร 2.ฟอกเงิน และ3.ภัยความมั่นคง เข้าที่ประชุมบอร์ดดีเอสไอให้พิจารณาเป็นคดีพิเศษ
แต่ปรากฎว่า ที่ประชุมมีมติ 11 เสียงให้รับเป็นคดีพิเศษ เฉพาะฐานความผิด ฟอกเงินเท่านั้น ซึ่งในวงแถลงข่าวผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามกับนายภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี ถึงเหตุผลที่รับฐานความผิดเดียว เพราะอะไร ทั้งคู่ไม่บอกรายละเอียด โดยบอกว่าจะกระทบต่อคดี
แต่ทีมข่าวได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงของดีเอสไอ บอกว่า ที่บอร์ดดีเอสไอ มีมติ 11 เสียงให้รับคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ในคดีฮั้ว สว.ไว้เป็นคดีพิเศษเพียงฐานความเดียวนั้น เนื่องด้วยกรรมการได้มีการยกข้อหารือ ในประชุมบอร์ด เมื่อ วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่าในลักษณะของคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ถือเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ให้เป็นคดีพิเศษได้ด้วยอำนาจอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือเสียงเกินกึ่งหนึ่งของกรรมการที่มี โดยเฉพาะถ้าเป็นการชี้ขาดว่าให้เป็นความผิดฐานฟอกเงินทางอาญา แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เพราะเข้าเงื่อนไขกรณีที่มีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นความผิดตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 อยู่แล้วนั้น จะเป็นคดีพิเศษได้โดยไม่ต้องอาศัยมติบอร์ด
ซึ่งจากรายงานการสืบสวนของดีเอสไอ และการสอบปากคำพยาน ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการใช้เงินเกี่ยวกับขบวนการเลือก สว.67 มากเกิน 300 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือก สว. ระดับอำเภอ และต่อเนื่องไปจนถึงหลังจบการเลือก สว. ระดับประเทศ ทั้งยังหมายรวมถึงการเตรียมทรัพย์สินไว้สำหรับใช้กระทำความผิด ทั้งการใช้หรือผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาด้วย จึงได้มีการวินิจฉัยในวันนี้ของกรรมการให้รับคดีฟอกเงินไว้เป็นคดีพิเศษ ด้วยมติชี้ขาด 11 เสียง จากทั้งหมด 18 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง
ส่วนการสอบสวนคดีพิเศษหลังจากนี้ ทาง พ.ต.ต.ยุทธนา จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่น เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์ต่อการทำสำนวนคดี
แหล่งข่าวภายใน ระบุอีกว่า ส่วนหลังจากนี้หากมีการสอบสวนขยายผล แล้วพบฐานอาญาความผิดอื่น อาทิ ฐานอั้งยี่และความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ ทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สามารถรับเพิ่มไว้ดำเนินการได้ เนื่องจากจะเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกัน โดยไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้าที่ประชุมของบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษอีกแล้ว แต่คณะพนักงานสอบสวนจะต้องไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้ชัดเจน
ส่วนกรณีของฐานความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.พ.ศ. 2561 จะเป็นอำนาจดำเนินการของ กกต. เพื่อไม่ให้เป็นการทับซ้อนหรือขัดข้อกฎหมายระหว่าง 2 หน่วยงาน
แหล่งข่าวยังเปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุม ยังมีการถกเถียงกันถึง ประเด็น คดีฮั้ว สว.6เป็นคดีที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคม ซึ่งก็อาจจะเข้าข่ายความผิดภัยความมั่นคงได้ ซึ่งต้องรอสอบสวนขยายผล
แหล่งข่าวภายใน เปิดเผยด้วยว่า หลังจากนี้จะออกหมายเรียกพยาน รวมไปถึงการสืบเส้นทางการเงิน โดยเฉพาะในส่วนของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินหรือรับผลตอบแทนตัวเงิน
รวมถึงการพิจารณารายการทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งหากพบที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินทางอาญาในคดีมูลฐาน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะทำการออกคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบชั่วคราวด้วย