อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568 : "รักชนก" ซัดนายกฯ ขาดภาวะผู้นำ ปล่อยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูดเงินคนไทย

โดย PPTV Online

เผยแพร่

"รักชนก" ซัดนายกฯ ขาดภาวะผู้นำ ปล่อยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูดเงินคนไทยนับแสนล้าน

เมื่อเวลา 12.40 น. วันที่ 25 มี.ค. 68 นางสาว รักชนก ศรีนอก ส.ส. พรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยฝากไปยัง ท่านประธานสภา ขอให้นายกรัฐมนตรีเข้ามาฟังพรรคฝ่ายค้านอภิปรายด้วย ไม่ใช่มานั่งฟังเฉพาะช่วงที่รัฐมนตรีของตนเองตอบ

การอภิปรายของ นางสาวรักชนก ในวันนี้พุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหา อาชญากรรมออนไลน์ โดยระบุว่าเป็นเพียงภาพลวงตาในการแก้ปัญหา เป็นเพียง "ผัดซีโรยหน้า" ที่รัฐบาลต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเองเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้  

คอนเทนต์แนะนำ
อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568 : ไอซ์ รักชนก น้ำตาซึมออกจากห้องประชุม ปมประท้วง "วันนอร์"
ยกฟ้อง “ไอซ์ รักชนก” หมิ่น 2 พิธีกร “กนก-เจ๊ปอง”

 

พรรคประชาชน ทีวีรัฐสภา
"รักชนก" ซัดนายกฯ ขาดภาวะผู้นำ ปล่อยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูดเงินคนไทยนับแสนล้าน

ทั้งที่ในความเป็นจริง นายกรัฐมนตรี ยังมีพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไป เพราะ ขาดภาวะผู้นำ โยนงานกันไปมา จนส่งผลเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมหาศาล 

นอกจากนี้ นายกฯ ยังทำตัวลอยเหนือปัญหา ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน จนกระทั่งรัฐบาลต่างชาติกดดัน ถึงจะมีการดำเนินการแก้ไข ขณะที่การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในการกำจัด ทุนสีเทา ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ แต่นายกฯ กลับจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนและพวกพ้อง ปล่อยให้เกิดการทุจริตในราชการ มองดูการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นโดยไม่ดำเนินการใด ๆ จนถึงวันนี้ปัญหา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็ยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร

"ความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในช่วง 3-4 ปี ตามข้อมูลจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีมูลค่ารวมแล้วกว่า 80,000 ล้านบาท แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความเสียหายที่แท้จริง เพราะเป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่เข้าแจ้งความเท่านั้น ยังมีเม็ดเงินอีกมหาศาลที่ไม่ถูกรวมอยู่ในตัวเลขนี้ ซึ่งอาจสูงถึง 100,000 ล้านบาทต่อปี"

นางสาวรักชนก ยังเปิดสไลด์ข้อมูลตัวเลขความเสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ทั่วโลกในปี 2023 ที่สูงถึง 2.24 ล้านล้านบาท โดยระบุว่ามี 3 ประเทศ ที่มีพรมแดนติดกับไทย ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ถูกใช้เป็นฐานบัญชาการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มุ่งหลอกลวงคนไทย ดูดเงินจากกระเป๋าประชาชนไปจำนวนมาก อีกทั้งยังมีประชาชนที่ต้องเสียชีวิตจากการถูกหลอก

"ปัญหานี้เร่งด่วนและร้ายแรง ไม่มีใครหนีพ้น แม้แต่นายกรัฐมนตรีเองก็เคยถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน แต่นายกฯ กลับเพิกเฉย ไม่ตรวจสอบต้นตอว่าข้อมูลส่วนตัวของนายกฯ รั่วไหลได้อย่างไร อย่าว่าแต่นายกฯ โดนเลย แล้ว ตาสีตาสา ที่ไม่เก่งเทคโนโลยีล่ะ เขาจะเป็นอย่างไร?" 

นางสาวรักชนก กล่าวว่า ต่อมาคือปัญหาในส่วน “กลางน้ำ” ในการเข้าถึงตัวผู้เสียหาย แก๊งมิจฉาชีพต้องอาศัย ของหลักๆ 4 อย่าง คือ ข้อมูลส่วนตัว ซิมม้า บัญชีม้า และคริปโตเคอร์เรนซี เริ่มจากซิมม้า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องบังคับใช้กฏหมายเพื่อบังคับค่ายมือถือให้จัดการ เราต้องแก้ด้วยการให้ค่ายมือถือร่วมรับผิดชอบด้วย แต่ พ.ร.ก. ที่จะให้ค่ายมือถือร่วมรับผิดชอบ ตอนนี้อยู่ไหน เมื่อไรจะออกมา ในขณะที่รัฐบาลยังไม่ออกกฎหมาย แต่ค่ายมือถือออกนวัตกรรมใหม่ “ประกันภัยไซเบอร์” เป็นแพ็คเก็จแบบรายเดือน ฉวยโอกาสเอาปัญหาที่รัฐบาลไม่แก้มาขูดรีดค่ารักษาความปลอดภัยรายเดือนกับประชาชน ประเทศไทยรัฐบาลปล่อยให้ทุนใหญ่เอาเปรียบประชาชนได้ขนาดนี้ 

ถัดมาคือเรื่องบัญชีม้า แม้ปิดได้เยอะแต่ยังไงต่อ จริงๆ แล้วนายกฯ ต้องสั่งให้ขยายผลว่าบัญชีม้าที่เปิดกันเป็นล่ำเป็นสันนั้น มีตัวการใหญ่ที่จ้างคนไปเปิดบัญชีอย่างเป็นระบบหรือไม่ 
ตอนนี้ธนาคารปิดบัญชีได้หลักล้าน และมีการเก็บข้อมูลเป็นเลขบัตรประชาชน ประมาณ 150,000 คน แต่มีคนถูกดำเนินคดีจริงๆ แค่หลักพันเท่านั้น ที่เหลือทำไมยังปล่อยไว้ 

เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 6233/2564 ให้ผู้เสียหายและธนาคารร่วมรับผิดชอบกันคนละครึ่ง เนื่องจากศาลเห็นว่าธนาคารก็มีส่วนประมาท นี่คือหลังพิงที่ยืนยันว่าการให้ธนาคารร่วมรับผิดชอบสามารถทำได้ รัฐบาลควรออก พ.ร.ก. ร่วมรับผิดชอบ ออกมาบังคับใช้ได้แล้ว เพื่อบังคับให้ธนาคารและค่ายมือถือจัดการปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะมีมติ ครม. รับหลักการไปเกือบ 2 เดือน ตนหวังว่า พ.ร.ก. ฉบับนี้คงไม่หายไปเพราะมีกลุ่มทุนบางกลุ่มพยายามล็อบบี้รัฐบาล

อีกเรื่องคือคริปโตเคอร์เรนซี ข้อมูลจากตำรวจไซเบอร์บอกเองว่า 95% ของเงินที่ถูกหลอกลวงมาได้จะถูกโอนเข้าเป็นเหรียญคริปโตทั้งหมดผ่านแพลตฟอร์มที่อยู่นอกการดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลจัดการอะไรในเรื่องการซื้อขายเหรียญคริปโตบ้าง เคยออกนโยบายให้ กลต. ออกระเบียบมาคุมแพลตฟอร์มให้ครอบคลุมทั้งหมดหรือไม่ หรือออกระเบียบควบคุมการซื้อขายแบบ P2P บ้างหรือไม่ คำตอบคือไม่มีเลย ทั้งที่เป็นจุดสุดท้ายของเงินที่เราจะติดตามได้

รู้กันดีว่าคริปโตเคอร์เรนซีเป็นแหล่งฟอกเงินที่สะดวกที่สุด การที่นายกฯ ปล่อยปละละเลยจึงคิดเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากตั้งใจจะไม่ควบคุม ปล่อยให้อะไรเทาๆ อยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ตนไม่ได้ต่อต้านคริปโตเคอร์เรนซี แต่ตลาดซื้อขายทุกวันนี้คือสวรรค์ของแก๊งมิจฉาชีพที่นำเงินมาฟอกอย่างง่ายดาย 

นางสาวรักชนกกล่าวว่า ในกระบวนการ “กลางน้ำ”  สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เหยื่อตายใจและถูกหลอกอย่างง่ายดาย คือเมื่อแก๊งมิจฉาชีพมีข้อมูลเชิงลึกของเหยื่อ ที่ผ่านมามีบริษัทเอกชนหน่วยงานภาครัฐที่ทำข้อมูลรั่วออกข่าวอยู่ตลอด แต่พวกเขาเคยถูกลงโทษบ้างหรือไม่ เมื่อพฤศจิกายน 2567 แฮกเกอร์คนหนึ่งให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าบริษัทเอกชนในไทยไม่ใส่ใจการปกป้องข้อมูลลูกค้า เพราะต่อให้ข้อมูลหลุด ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการลงโทษ ไม่มีค่าปรับตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค ไม่เคยต้องจ่ายเงินชดเชยความผิดพลาดของตนเอง เพราะรัฐบาลอ่อนแอในการบังคับใช้กฎหมาย นี่เราเป็นประเทศแบบไหนที่ปล่อยให้โจรมาสอนรัฐบาล

รวมๆ แล้ว ในกระบวนการกลางน้ำ การที่เรามีนายกฯ ชื่อแพทองธาร ชินวัตร กลับทำให้ทุกอย่างติดขัดไปหมด เพราะจะแก้เรื่องไหนก็ติดประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ตัว จะแก้ปัญหาให้ได้ผลหนีไม่พ้นต้องมีการลงโทษให้กลุ่มทุนร่วมรับผิดชอบจ่ายเงิน แต่รัฐบาลเกรงใจทุกคนยกเว้นประชาชน รัฐบาลเห็นประชาชนสำคัญน้อยที่สุด จึงเอาประโยชน์ของประชาชนไว้ทีหลัง 

มาถึงส่วนสุดท้าย “กระบวนการปลายน้ำ” คือการปราบปรามอาชญากรรมและจัดการอาชญากรทั้งระบบ การบริหารที่ผิดพลาดของนายกฯ แพทองธาร ทำให้ประเทศไทยตอนนี้กลายเป็นสวรรค์ของอาชญากรโดยสมบูรณ์แบบ เรื่องแรกคือการปล่อยให้สิ่งที่เป็นเสมือนเกราะป้องกันด่านแรกสุดของเราคือระบบเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ของสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ใช้การไม่ได้ ไม่สามารถเก็บอัตลักษณ์ใครเพิ่มได้อีกแล้ว และไม่สามารถเก็บได้เลยมาตลอดปี 2567 

เรามีการให้ฟรีวีซ่ากับนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติ เห็นแล้วว่าคนที่เข้าประเทศไทยไม่ได้มีแค่นักท่องเที่ยว แต่ยังมีบรรดาแก๊งอาชญากรที่แฝงตัวเข้ามาด้วย ดังนั้นการเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะบางครั้งคนเหล่านี้มีหลายสัญชาติ มีหลายพาสปอร์ต จะทำให้การตรวจจับยิ่งยากขึ้น จึงต้องพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล 

นี่คือเรื่องที่นายกฯ รับผิดชอบโดยตรง เพราะตำรวจอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกฯ ระบบไบโอเมตริกซ์ที่หมดอายุไป สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ก็วางแผนว่าจะมีระบบใหม่มาแทนที่ แต่ต้องใช้เวลากว่าระบบพร้อมใช้งานคือเกือบ 3 ปี แล้วต้องนับตั้งแต่วันที่มีการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งปัจจุบันยังร่าง TOR กันอยู่เลย นี่หรือการบริหารงานของมืออาชีพที่มีแต่คำโฆษณา แม้แต่ความปลอดภัยเบื้องต้นยังมอบให้กับคนไทยไม่ได้เลย 

นางสาวรักชนก ตั้งคำถามต่อว่า ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ เราเคยเห็นรัฐบาลจัดการพวกตัวการใหญ่ได้บ้างหรือไม่ จับได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย จัดการตัวเล็กตัวน้อย ทำแบบนี้อีกร้อยปีก็จัดการถอนรากถอนโคนแก๊งคอลเซนเตอร์ไม่ได้ จึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าหรือพวกตัวใหญ่ๆ ในขบวนการเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล

ยกตัวอย่างกรณีการสั่งย้าย พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ หรือ “ผู้การต๊ะ” ที่ปัจจุบันถูกสั่งย้ายเนื่องจากข้อกล่าวหาเชื่อมโยงกับ "เมียวดีคอมเพล็กซ์” แต่สั่งย้ายแล้วยังไงต่อ มีการนำไปขยายผลต่อหรือไม่ หลายคนตั้งคำถามว่านายกฯ จะกล้าทำอะไรจริงจังหรือไม่ เพราะเบื้องหลังของคนๆ นี้คือนักการเมืองที่มีอิทธิพลแถวเชียงราย อักษรย่อ ย. ที่ผู้การต๊ะเคยรับใช้ เป็นลูกน้องคนสนิทของพ่อนายกฯ อีกเช่นกัน 

นอกจากเกี่ยงกันตัดไฟ เกี่ยงปิดท่าข้าม ยังเกี่ยงกันออกหมายจับ “หม่องชิตตู”  ซึ่งเป็นผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยง BGF ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าร่วมกับแก๊งจีนเทาในการสร้างความยิ่งใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในพื้นที่ที่ตัวเองควบคุมอยู่ คือ เมียวดี ชเวก๊กโก โดยเป็นการเกี่ยงกันระหว่าง DSI กับ อัยการสูงสุด ตอนนี้ผ่านไปสามสัปดาห์แล้วก็เงียบ ไม่รู้จะออกหมายจับได้หรือไม่ ทั้งที่หม่องชิตตู่มีคดียาวเป็นขบวน ประเทศอื่นประกาศแบล็คลิสต์ ทำไมประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย

ที่ต้องปราบปรามจัดการให้สิ้นซาก ยังมีนายทุนไทยเทา เจ้าของบ่อนผู้กว้างขวางฉายา “ตือ คอสโม่” 
ที่เข้าถึงคนในวงการการเมือง เข้าถึงคนในวงการตำรวจ มีบ่อนในประเทศไทย โดนบุกทลายกี่ครั้ง ก็กลับมาเปิดได้เพราะผู้สนับสนุนเบื้องหลังแข็งแกร่ง ถ้านายกฯ แพทองธารจริงจังที่จะจัดการธุรกิจสีเทาแบบที่พูดว่า “ไม่จบไม่เลิก” ก็ต้องกล้าเล่นงานตัวใหญ่ๆ แบบ “ตือ คอสโม่” ให้ได้ 

นาสาวรักชนก กล่าวว่า การตั้งต้นเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีตึก มีอาคาร อิฐหินดินปูน แก๊งมิจฉาชีพต้องใช้ไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตมหาศาล ต้องหลีกหนีกฎหมายในรูปแบบต่างๆ แต่ก็ได้เจ้าหน้าที่รัฐไทย อำนวยความสะดวก “เจอ จ่าย จบ” ถ้ามีเงินมากพอ กฏหมายทุกอย่างสามารถยกเว้นได้ ลองคิดดูว่าถ้าฟันเฟืองใดฟันเฟืองหนึ่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำงานไม่ดี ทำงานไม่สำเร็จ มันจะตัดจบที่ขั้นตอนนั้นไปแล้ว แต่ทุกอย่างกลับเอื้อให้เขาทำสำเร็จทุกขั้นตอน และเกี่ยวกับประเทศไทยทุกขั้นตอน อาชญากรรมออนไลน์จึงเติบโต

ขอย้ำอีกทีว่า ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่แค่เรื่องไร้ประสิทธิภาพ แต่คือความจงใจปล่อยปละละเลยเพราะผลประโยชน์ทับซ้อนเบื้องหลังมหาศาล ความหน้าไหว้หลังหลอกของรัฐบาลแพทองธาร คือเขียนสิ่งเหล่านี้ไว้ในคำแถลงนโยบาย แต่พอดูไส้ใน ทุกกระบวนการกลับไม่ลงมือทำอะไรจริงจัง ปัญหาที่ดูเหมือนว่าจะคลี่คลายไป แต่แท้จริงแล้วพร้อมที่จะปะทุขึ้นได้ตลอดเวลาเพราะรัฐบาลไม่เคยแก้ปัญหาที่ต้นตอแบบถอนรากถอนโคน 


 

Bottom-PL-HLW Bottom-PL-HLW

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

ขณะนี้ มีรายการกำลังถ่ายทอดสด คุณสนใจหรือไม่?

FINAL CALL

FINAL CALL

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ