คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่มีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน ได้เรียกผู้แทนสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เข้าร่วมประชุม เพื่อชี้แจงการเสนองบประมาณเพื่อปรับปรุงพื้นที่รัฐสภาในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่มีมูลค่าหลายพันล้านบาท โดยมี ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาฯ พร้อมหัวหน้าหนร่วยงานที่รับผิดชอบ เข้าชี้แจงรายละเอียด
โดยวันนี้มีการพิจารณหลายโครงการด้วยกน อาทิ ปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา 120 ล้านบาท ทำระบบเสียงห้องประชุมสัมมนา ขนาด 1,500 ที่นั่ง มูลค่า 99 ล้านบาท , ปรับปรุงห้องประชุม CB406 มูลค่า 118 ล้านบาทท , ปรับปรุงไฟห้องสัมมนาชั้น B1 และ B2 มูลค่า 118 ล้านบาท , ปรับปรุงห้องสารนิเทศ มูลค่า 180 ล้านบาท , ปรับปรุงศาลาแก้ว 123 ล้านบาท และปรับปรุงครัวรัฐสภา 117 ล้านบาท
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ในฐานะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลของโครงการที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนองบประมาณ โดยเฉพาะ โครงการติดตั้งระบบภาพยนตร์ 4 มิติ ซึ่งไม่มีการระบุชัดว่าเป็นห้องประชุม แต่กลับจัดอยู่ในโครงการเร่งด่วนที่ใช้งบประมาณ “เหลือจ่าย” เช่นเดียวกับการจ้างที่ปรึกษาออกแบบอาคารจอดรถ
นายปดิพัทธ์ เผยว่า จากเอกสารงบประมาณ พบว่ามีการระบุความเสี่ยงว่าอาจไม่ได้รับการจัดสรรงบโดยตรง และมีแผนป้องกันด้วยการใช้งบเหลือจ่ายจากหน่วยงานอื่นในสำนักงาน ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของสภาในการจัดตั้ง “งบกลาง” ของตนเองเพื่อความยืดหยุ่น ทั้งที่อาจเสี่ยงต่อความไม่โปร่งใส และอาจผิดหลักกฎหมาย
พร้อมกันนี้ นายปดิพัทธ์เรียกร้องให้เปิดเผยรายการทั้งหมดที่ใช้งบเหลือจ่ายว่าเป็นโครงการใดบ้าง ใครเป็นผู้กำหนดลำดับความเร่งด่วน และมีหลักเกณฑ์ใดรองรับ เพราะเห็นว่าแนวทางเช่นนี้อาจกลายเป็นช่องโหว่ในการใช้เงินโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างเหมาะสม
สำหรับ โครงการติดตั้งระบบภาพยนตร์ 4 มิติ นายปดิพัทธ์กล่าวว่าไร้เหตุผลและไม่ตอบโจทย์การมีส่วนร่วมทางการเมือง พร้อมยกตัวอย่างว่า แม้แต่ประเทศประชาธิปไตยชั้นนำก็ยังไม่มีการจัดแสดงในรูปแบบโรงหนัง 4D ภายในรัฐสภา การใช้สื่อจำลองเช่นนี้จึงไม่ควรอ้างว่าเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม หากประชาชนอยากเข้าใจการเมือง ควรได้เห็นกระบวนการจริง เช่น การได้ชมการประชุมสภา หรือพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐ มากกว่าการชมภาพยนตร์จำลองที่เขาเปรียบว่าเป็น “คอปป้าแกรนด์ที่ไร้สาระ”
นายปดิพัทธ์ ยังตั้งคำถามถึงเนื้อหาของการผลิตสื่อว่า หากอิงตามพิพิธภัณฑ์รัฐไทยหลายแห่งที่ผ่านมา ก็มักเน้นเนื้อหาฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างสุดโต่ง ซึ่งขัดกับหลักการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง
ส่วนกรณีการใช้งบประมาณเพื่อปรับปรุง “ศาลาแก้ว” โดยมีคำชี้แจงว่าใช้เป็นสถานที่ต้อนรับและพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้นำต่างประเทศ ด้านนายปดิพัทธ์ มองว่า ตนเองเคยได้รับการตั้งคำถามโดยตรงจากผู้นำต่างประเทศในช่วงดำรงตำแหน่ง เช่น ผู้นำเยอรมนีถามเรื่องค่าไฟฟ้าจากระบบปรับอากาศของอาคารรัฐสภาไทยต่อเดือน
ผู้นำเวียดนามสงสัยทำไมรัฐสภาไทยใหญ่กว่าของตนถึงสามเท่า ขณะที่ผู้นำเดนมาร์กระบุว่าไม่เคยพบอาคารรัฐสภาแห่งใดที่เดินทางภายในแล้ว หลงทางขนาดนี้
นายปดิพัทธ์ เผยว่า หากเป้าหมายคือการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจริง ห้องประชุมรูปไข่ที่ใช้รับรองแขกในปัจจุบันก็ถือว่าเหมาะสมดีแล้ว และหากพิจารณาตามเงื่อนไขที่เสนอมา ก็อาจเหมาะสำหรับจัดงานเลี้ยงมากกว่า เพราะการทุ่มงบไปกับการตกแต่งอาคารไม่ใช่สาระสำคัญของรัฐสภา และไม่ช่วยให้ภารกิจของสภาบรรลุผลได้จริง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ประชาชนจำนวนมากกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ตกงาน หรือขาดโอกาส หากปีนี้เรามีโครงการปรับปรุงศาลาแก้ว ปีหน้าเราอาจได้เห็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ หรือโครงการตกแต่งอื่น ๆ อีก ซึ่งสะท้อนว่าแนวคิดแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด
ภารกิจสำคัญของสภาคือการพิจารณากฎหมายให้มีประสิทธิภาพ การพิจารณาญัตติที่ประชาชนเข้าชื่อ และการพัฒนาระบบตรวจสอบ เช่น Digital Parliament หรือ Big Data Governance ไม่ใช่การลงทุนเพื่อความสวยงาม แม้งบประมาณหลักร้อยล้านอาจดูเล็กน้อยในสายตาหน่วยงานรัฐ แต่หากสะท้อนผ่านบริบทเศรษฐกิจของประเทศ การอนุมัติงบประมาณเช่นนี้อาจต้องเผชิญกับคำสาปแช่งของประชาชน พร้อมยืนยันว่า รับประกันว่าโครงการนี้จะไม่ได้ถูกใช้งานจริง
แฉงบสร้าง ที่จอดรถ 4,600 ล้าน
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 และกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการเสนองบประมาณโครงการก่อสร้างอาคารที่จอดรถแห่งใหม่ของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ โดยเฉพาะการใช้งบเหลือจ่ายที่ผ่านความเห็นชอบอย่างเร่งด่วน
นายปดิพัทธ์ ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ว่า ขณะที่ดำรงตำแหน่งเคยขอใช้งบ 8,000 กว่าบาทเพื่อติดตั้งเครื่องกรองน้ำ ยังใช้เวลาพิจารณาถึง 2 ปี จึงตั้งคำถามว่าเหตุใดโครงการที่จอดรถซึ่งใช้งบมหาศาลกลับสามารถผลักดันได้อย่างรวดเร็ว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีการผลักดันจากฝ่ายการเมืองหรือไม่ เพราะที่จอดรถมักเป็นปัญหาสำหรับ “ผู้ใหญ่” มากกว่าประชาชนทั่วไป
นายปดิพัทธ์ ตั้งคำถามถึงที่มาของโครงการว่าเป็น “ดำริ” ของใครกันแน่ โดยระบุว่า หากเป็นเพียงการสั่งการแบบปากเปล่า หรือเกิดจากแรงกดดันโดยไม่ผ่านเอกสารอย่างเป็นทางการ ก็ถือว่าไม่เหมาะสม และอาจทำให้เจ้าหน้าที่ต้องตอบคำถามอย่างลำบาก
ด้านตัวแทนจากสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวมีการหารือภายในคณะกรรมการบริหารจัดการงบประมาณของรัฐสภา (คบงรส.) ซึ่งมีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานโดยตำแหน่ง แต่ในการประชุมมักมอบหมายให้รองประธานหรือบุคคลอื่นเป็นผู้เข้าร่วมแทน โดยยืนยันว่า การดำเนินโครงการเป็นการต่อเนื่องจากข้อเสนอของสำนักรักษาความปลอดภัยที่ประเมินปัญหาพื้นที่จอดรถมาตลอดหลายปี
เมื่อถูกถามถึงเอกสารหรือคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร ตัวแทนสภาฯ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การพิจารณาโครงการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากการพูดคุยภายในคณะกรรมการย่อยที่รับผิดชอบปัญหาที่จอดรถ ซึ่งตนไม่ได้ร่วมอยู่ในคณะกรรมการชุดนั้น
ฉากหลังบัลลังก์สภาฯ เหมือนโรงลิเก
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 และกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน แสดงความเห็นต่อโครงการ ตกแต่งฉากหลังบัลลังก์ประธานสภา ซึ่งใช้งบประมาณกว่า 133 ล้านบาท โดยตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของรูปแบบและกระบวนการออกแบบ
นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ประชาชนมักมาถามตนเองว่าขณะนี้ฉากหลังที่ปรากฏในห้องประชุมเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือยัง? เพราะสิ่งที่หลายคนรวมถึงตัวเขาเองสงสัยคือทำไมฉากหลังจึงดูเปลือยหรือยังไม่เสร็จ ทั้งที่มีข่าวว่าโครงการนี้ใช้งบประมาณมหาศาล
พร้อมกันนี้ เขาได้เปรียบเทียบลักษณะของฉากหลังที่ถูกออกแบบไว้กับ “โรงลิเก” ซึ่งมีจิตรกรรมและองค์ประกอบที่หวือหวา โดยตั้งข้อสังเกตว่าในห้องประชุมซึ่งควรใช้สำหรับการทำงานอย่างมีสมาธิ การตกแต่งที่มากเกินไปอาจรบกวนวัตถุประสงค์หลัก และเสนอแนะว่า หากต้องการสื่อสารแนวคิดเชิงวัฒนธรรมหรือประวัติศาสตร์ เช่นเรื่องพุทธศาสนา หรือปี 2475 ควรจัดแสดงในพื้นที่เฉพาะ เช่น พิพิธภัณฑ์ หรือวัด มากกว่าจะนำมาจัดแสดงในห้องประชุมสภาโดยตรง
นายปดิพัทธ์ เสนออีกว่า หากมีการออกแบบใด ๆ ควรนำเสนอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่วมกันก่อน ไม่ควรเป็นการตัดสินใจแบบเบื้องหลังของหน่วยงานเพียงฝ่ายเดียว
จี้สำนักงานสภาฯ รับปากยุติโครงการฟุ่มเฟือย
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวภายหลังการประชุมพิจารณางบประมาณปี 2569 ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยเรียกร้องให้หน่วยงานต้นทางแสดงความชัดเจนว่าควรยุติโครงการใดในบรรดา 15 โครงการที่ถูกตั้งข้อสังเกต ทั้งที่อนุมัติแล้วและอยู่ระหว่างพิจารณา เพื่อป้องกันการเดินหน้าโครงการที่ประชาชนวิจารณ์ว่าไม่จำเป็น
นายพริษฐ์ ย้ำว่าการรับฟังข้อสังเกตจากสังคมแล้วเพียงแค่โยนให้กรรมาธิการตัดสินในภายหลัง ไม่เพียงพออีกต่อไป พร้อมเตือนว่าหากไม่มีคำยืนยันจากหน่วยงานเจ้าของโครงการ ก็อาจเกิดกรณีโอนงบจากโครงการอื่นกลับมาใช้ในภายหลังได้
นายพริษฐ์ พยายามขอ คำตอบชัดเจนจากสำนักงานฯ ว่าเห็นควรยุติโครงการใดบ้าง และให้แจ้งต่อคณะกรรมาธิการโดยเร็วอย่างน้อยก่อนเข้าสู่การพิจารณาวาระที่ 1 ปลายเดือนนี้ เพื่อสร้างความโปร่งใสและฟื้นความเชื่อมั่นจากสังคม
แต่สุดท้ายตัวแทนสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ยังไม่สามารถให้คำยืนยันได้ในที่ประชุม โดยเผยว่า จะนำข้อสังเกตทั้งหมดไปหารือในที่ประชุมผู้บริหารและฝ่ายการเมืองในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ และต้องรอสอบถามหน่วยงานเจ้าของโครงการก่อนว่าจะเดินหน้าหรือยุติ พร้อมย้ำว่าอำนาจในการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่สำนักงานฝ่ายเดียว
"สว.พันธุ์ใหม่" รุมสับงบรีโนเวทสภาฯ
นางสาวนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา และกลุ่ม สว. พันธุ์ใหม่ แถลงข่าว เกี่ยวกับ การของบประมาณเพื่อปรับปรุงรัฐสภา ซึ่งคณะเรามองว่าการแสดงงบครั้งนี้เป็นงบที่ฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็น ไม่สมเหตุสมผลและมีแนวโน้มส่อไปในทางไม่โปร่งใส จึงต้องออกมาสื่อสารกับประชาชน งบประมาณที่จัดสร้างรัฐสภาแห่งนี้บนพื้นที่ 120 ไร่ พื้นที่ 420,000 ตารางเมตร ใช้งานมา 4 ปีชำรุดทรุดโทรม ในฐานะที่ตนเป็นสว.ก็ได้เห็นมากกว่านั้นเวลาประชุม น้ำรั่ว ฝ้าเพดานถล่ม แต่ไม่มีงบในการมาจัดการ รวมถึงการเดินห้องไม่เจอแม้ว่าทำงานมา 10 เดือน
"รัฐสภาแห่งนี้ เป็นรัฐสภาพิศวงป้ายบอกทางไม่มี ต้องใช้เชื่อมจิตไปตามห้องต่างๆเอง ไม่สามารถหาห้องได้จากป้าย และไม่มีแนวโน้มที่จะของบมาทำป้าย แต่งบที่ขอมาเป็นงบที่สิ้นเปลืองโดยสิ้นเชิง ขอมาในปีนี้ 15 โครงการได้รับการจัดสรรที่อยู่ในงบที่จะพิจารณาเร็วๆนี้ 10 โครงการรวมทั้งสิ้น 956 ล้าน ส่วนอีก 5 โครงการเป็นงบหมกเม็ด แม้ยังไม่อนุมัติแต่มีการดำเนินการไปแล้ว " นางสาวนันทนากล่าว
นางสาวนันทนา กล่าวว่า งบปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา ที่เรียกว่าป่าช้าเพราะไม่มีอะไรและไม่มีสิ่งต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนิติบัญญัติ เสนอพัฒนาระบบภาพยนตร์ 4D แบบ imax 180 ล้าน เอาไปทำอะไร เราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เราไม่ต้องการแรงสั่นสะเทือนฝนพายุ ในส่วนห้องประชุมชั้น B1 ที่จะปรับปรุงไฟส่องสว่างเสนอมา 117 ล้าน จึงถามว่ามันไม่พอที่จะมองเห็นหน้ากันหรืออย่างไร
"การปรับปรุงศาลาแก้ว ซึ่งไม่เคยมีใครใช้เหมาะแก่การตากปลาหมอคางดำแดดเดียวเป็นอย่างยิ่ง เสนอติดแอร์มา 123 ล้าน อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะสู้กับแดด ถ้าให้งบไปติดแอร์ค่าไฟสภาปัจจุบันนี้เดือนละ 12-13 ล้าน จะพุ่งขึ้นเดือนละ 30 ล้านบาทเพราะว่าเรากำลังสู้กับแสงอาทิตย์ มันเสนอเข้ามาโดยไม่สมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิง " นางสาวนันทนากล่าว
นางสาวนันทนา ระบุว่า การติดตั้ง ภาพและเสียงประจำห้องจัดเลี้ยงอีก 99 ล้าน ซื้อจอ LED 72 ล้าน ปรับปรุงภูมิทัศน์ 43 ล้านและปรับปรุงห้องจัดเลี้ยงอีก 43 ล้านบาทรวม ๆ แล้วเกือบพันล้านคำถามเดียวคือปัจจุบันน้ำยังรั่วฝ้ายังถล่มอยู่ ลายังขึ้นตามเสาต่าง ๆ ผู้รับเหมาเดิมไม่รับผิดชอบหรือไม่ ทำไมไม่เรียกเขามาซ่อมและปรับปรุง อีก 5 โครงการที่หมกเม็ดไว้ คือ โครงการสร้างอาคารจอดรถเพิ่มเติม ปัจจุบันอาคารจอดรถชั้น B1 B2 จอดรถได้ประมาณ 1,900 คันทั้ง ๆ ที่ระเบียบข้อบังคับของ กทม. ระบุว่าอาคารที่จะเกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 2540 ต้องมีพื้นที่ 120 ตารางเมตรต่อรถ 1 คัน เพราะฉะนั้นสภาต้องมีที่จอดรถ 3,530 คัน เรามีแค่ 1,900 คัน ผิดระเบียบผิดกฎหมายมาตั้งแต่ต้น ทำไมถึงปล่อยให้สร้างมา พอวันนี้มาเสนอเป็นงบผูกพัน ถึง 4,600 ล้านจอดรถได้เพิ่ม 4,600 คัน ตกที่จอดรถคันละ 1 ล้านต่อคันแพงกว่าตึก สตง. 30 ชั้น
นอกจากนี้ยังมีการออกแบบตกแต่งจิตรกรรมหลังบัลลังก์ประธานสภาฯ อีก 133 ล้านตนไม่แน่ใจว่าจะทำจิตรกรรมฝาผนังงดงามอะไรในขณะที่ประชุมกันเพื่อพิจารณาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เรามองว่า ผิดพลาดมาตั้งแต่การก่อสร้างอาคารนี้ รับมอบกันไปเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว รับมายังไม่ถึง 1 ปี ชำรุดทรุดโทรมช้ามั่วรั่วพัง นี่คือสิ่งที่ออกมาปฏิเสธว่าเราไม่สามารถที่จะให้งบประมาณที่ฟุ้งเฟ้อเหล่านี้ผ่านสภาไปได้
นางสาวนันทนา ยังกล่าวด้วยว่า สว.ไม่ใช่อภิสิทธิ์ชนรวมทั้งสส. ด้วย ฉะนั้นการใช้งบประมาณต้องเห็นหัวประชาชนไม่ได้เห็นความสำคัญจำเป็นกับงบทั้ง 10 รายการรวมทั้งอีก 5 รายการที่ซ่อนเอาไว้ในการที่จะมาละเลงงบจากภาษีของประชาชน ขณะที่ประชาชนยังทุกยากเศรษฐกิจไม่ดีรายได้ไม่พอเรายังพรานงบของประชาชนขนาดนี้ไม่เห็นด้วยอย่างแรงและเราก็จะใช้ทุกวิธีทางในการที่จะสกัดกั้นไม่ให้งบตัวนี้มาเป็นภาระภาษีของประชาชน และขอคนรับผิดชอบการสร้างอาคารที่จอดรถที่ผิดข้อบัญญัติด้วย
ขณะที่นายสุนทร พฤกษพิทักษ์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวเพิ่มว่า เรื่องที่จอดรถ แล้ววันก่อนบอกว่ายังไม่ได้อนุมัติอะไร แต่ความจริงแล้วค้นพบว่ามีมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 มกราคม เห็นชอบกับ โครงการที่จอดรถ 4,600 ล้าน และหมกเม็ดกันมา ซึ่งตนเห็นว่าไม่ถูกต้อง เหตุที่มันแพงจากที่ตนไปศึกษามา เนื่องจากต้องขุดลงไปใต้ดิน แต่คำถามใหญ่คือจำเป็นหรือไม่ที่ต้องสร้างอีก 4,600 คัน
ด้านนายพรชัย วิทยเลิศพันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้รัฐบาลจะใช้งบประมาณอะไรจำเป็นต้องคิดอย่างรอบคอบ เช่น ตึกสตง.ที่ถล่ม ถูกจับจ้องเรื่อง การใช้งบ จึงขอให้คำนึงถึงเรื่องความจำเป็นเร่งด่วน พร้อมเห็นว่ารัฐสภาควรเร่งแก้ปัญหาห้องน้ำที่ชำรุด หลายจุดหลายเดือน เพราะตนเคยปวดหนักแล้วใช้ไม่ได้ และควรใช้งบในการสร้างป้ายบอกทางของอาคารรัฐสภาที่เป็นอาคารพิศวง ในชั้นเดียวกันมีห้องประชุมชื่อเหมือนกัน 4 ห้อง นอกจากนี้เป็นเรื่องโรงอาหาร ที่มีที่นั่งไม่ถึง 100 ที่นั่ง ถ้าใช้งบประมาณในการขยายโรงอาหารทุกคนจะได้ประโยชน์ ขณะเดียวกันไม่มีเครื่องกดน้ำ ภายในอาคารรัฐสภา และแผนการติดแอร์ศาลาแก้วใช้ไม่กี่ครั้ง ยังมีห้องใกล้ๆกัน ที่มีประชาชนมายื่นเรื่องร้องเรียน เป็นประจำ แต่ไม่มีแอร์ จึงเป็นคำถามความจำเป็นเร่งด่วนกับงบที่เสนอกับงบที่อนุมัติไปแล้วอันไหนเร่งด่วนกว่ากัน
นอกจากนี้ยังเห็นว่างบประมาณปรับปรุงพิพิธภัณฑ์และโรงภาพยนตร์ หรือห้องสัมมนา เท่าที่จำได้คือ B2 เคยใช้แค่ครั้งเดียวตลอด 10 เดือนจึงเห็นว่าจำเป็นต้องใช้งบเป็นร้อยล้านไปซ่อมแซมจริงหรือและตั้งคำถามว่างบทั้งหมดเพื่อประชาชนหรือเพื่อใคร หรือเพื่อความสะดวกสบายของสมาชิกวุฒิสภาที่สูงส่งตามที่บางคนบอก แผนที่นำงบตรงนี้ไปพัฒนาช่วยประชาชน เช่นสถานีขนส่ง
นายพรชัย ยังกล่าวถึงงบเรียนภาษาจีนของสว.ว่าเป็นงบปี69 ภายใต้ความร่วมมือของสถานทูตจีนและมหาวิทยาลัยหัวเฉียว แต่ทราบว่ามีการไปดูงานที่ต่างประเทศแต่ผู้จะไปต้องจ่ายเอง ซึ่งไม่ได้เบียดเบียนภาษีประชาชน แต่ไม่แน่ใจว่า 2.3 ล้านบาทตั้งขึ้นมา เป็นส่วนใด หรือใช้ในครั้งหน้าในการเดินทาง แต่ล่าสุดมีการถอนแล้วไม่มีการขอ คงต้องขอให้ประชาชนเอาทัวร์มาลงเยอะ ๆ งบที่ไม่สมเหตุสมผลจะได้หายไป
หวังเลขาสภาฯ ฟังเสียงวิจารณ์!
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.แบบบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง สื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวสรุปผลการประชุมกรรมาธิการนว่าด้วยการตรวจสอบงบประมาณของรัฐสภา 15 โครงการที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงหรือเติมแต่งอาคาร ซึ่งได้ทำคำขอไปในงบประมาณปี 2569
นายพริษฐ์ระบุว่า กรรมาธิการยึด 3 หลักด้วยกันคือ การตรวจสอบงบประมาณไม่ใช่แค่ว่าการจัดสรรงบประมาณชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ต้องตรวจสอบความเหมาะสมด้วย ถึงแม้งบประมาณบางส่วน จะเป็นไปตามระเบียบ แต่เราจำเป็นต้องตั้งคำถามว่า ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัด การจัดสรรงบประมาณจัดลำดับความสำคัญอย่างเหมาะสมหรือไม่ในการแก้ปัญหาให้ประชาชน
หลักที่ 2 คือการจัดการงบประมาณปี 2569 เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จึงควรประหยัดงบประมาณในส่วนที่ฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็น และ หลักที่ 3 บ่อยครั้งงบประมาณถูกอ้างว่าเพื่อภาพลักษณ์ของรัฐสภาแต่ภาพลักษณ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความยิ่งใหญ่ของอาคาร แต่ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการทำหน้าที่แก้ไขกฎหมายและเป็นตัวแทนแก้ไขปัญหาให้ประชาชน
นายพริษฐ์กล่าวต่อไปว่า จากการซักถามหน่วยงานยาวนานเกือบ 4 ชั่วโมง เห็นว่ามีขั้นตอนต่อไป คือ การตั้งข้อสังเกตในภาพรวม เพราะตอนนี้มีหลายปัญหาที่เห็นรายโครงการ สืบเนื่องมาจากแผนดั้งเดิมของอาคารรัฐสภามีปัญหา ทางหน่วยงานยืนยันว่าแม้หลายโครงการจะเป็นการแก้ไขปรับปรุงบางส่วน แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะแผนดั้งเดิมไม่ได้ครอบคลุมองค์ประกอบดังกล่าวตั้งแต่ต้น เราจึงต้องการเรียกเอกสารเพื่อตรวจสอบแผนดั้งเดิมโดยละเอียดว่าแผนดังกล่าวผ่านมาได้อย่างไร
นอกจากนี้ ที่มาของ 15 โครงการ เมื่อรับฟังจากตัวแทนที่มาชี้แจงเบื้องต้น มีโครงการบางส่วนที่ถูกชงขึ้นมาจากหน่วยงานราชการ แต่บางส่วนก็ถูกชงขึ้นมาจากคณะกรรมการพิเศษ ที่มีคำถามว่าอาจจะถูกตั้งโดยฝ่ายการเมือง
สำหรับโครงการอาคารจอดรถเพิ่มเติมที่พบข้อพิรุธค่อนข้างมาก มีคำของบประมาณเป็นงบผูกพัน 3 ปี รวมกัน 4,600 กว่าล้านบาท แม้จะยังไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงบประมาณ แต่มีข้อกังวล เช่น แผนดั้งเดิมของอาคารจอดรถที่มีอยู่อาจขัดกับข้อบัญญัติ กทม. ที่กำหนดไว้ว่าอาคารแต่ละประเภท เมื่อคำนวณจากพื้นที่ตารางเมตร ต้องมีที่จอดรถทั้งหมดกี่ที่ ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วจะออกมาได้ 3,500 คัน แต่แผนดั้งเดิมออกแบบไว้ให้มีที่จอดรถเพียง 2,000 คันเท่านั้น
“คำถามที่ตามมาคือ เมื่อขัดกับข้อบัญญัติของ กทม. แล้วใครจะรับผิดชอบ ผมเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะบอกว่าต้องเพิ่มจำนวนที่จอดรถให้สอดคล้องกับกฎหมาย แต่ต้องมารับผิดชอบโดยภาษีของพี่น้องประชาชน” นายพริษฐ์กล่าว
พริษฐ์ตั้งข้อสังเกตอีกว่า คณะกรรมการพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นมา และเป็นผู้ชงเรื่องการสร้างอาคารที่จอดรถเพิ่มเติม เสนอให้เพิ่มที่จอดรถเพิ่มจากเดิมอีก 4,600 ที่ รวมเป็น 6,500 ที่ เราต้องการตรวจสอบว่าใช้สูตรคำนวณใดให้ได้ตัวเลข 4,600 ที่ออกมา ดูไม่สมเหตุสมผลกับจำนวนของผู้ที่เข้าใช้บริการรัฐสภาพร้อมกันในวันเดียว เหมือนเป็นการตั้งสมมติฐานที่สูงเกินไป นอกจากนี้ ต้องตรวจสอบว่าใช้สูตรคำนวณใดจึงต้องใช้งบประมาณสร้างอาคารจอดรถถึง 4,600 ล้านบาท
ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐสภากำลังเปิดประมูลบริษัทมาออกแบบอาคารจอดรถด้วยงบประมาณ 10,000 5 ล้านบาท แต่ไม่ได้ตั้งประมาณไว้ไม่ปี 2568 แต่นำงบประมาณที่เหลืออยู่จากปี 2567 โอนมาใช้ในส่วนนี้ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าไม่เคยมีการโอนงบประมาณในลักษณะนี้มาก่อน ถึงแม้จะมีระเบียบของรัฐสภารองรับ แต่มีความจำเป็นอย่างไรที่ต้องใช้งบประมาณมากขนาดนี้ในการว่าจ้างบริษัทมาออกแบบอาคาร
โดยมีบริษัทเสนอราคาเข้ามา 3 แห่ง แต่บริษัทที่ชนะยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญา เพราะบริษัทอื่นที่ไม่ได้รับคัดเลือก ได้ทำเรื่องอุทธรณ์เข้ามา จึงต้องตรวจสอบต่อไปว่ามีข้อบกพร่องอย่างไร และเวลานี้ยังทันอยู่ที่จะยับยั้งการเซ็นสัญญานี้
สำหรับโครงการโรงภาพยนตร์ 4D ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว 180 ล้านบาท ข้อสังเกตคือหน่วยงานไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดที่ทำให้รู้สึกว่าโครงการนี้มีความคุ้มค่า มีเหตุจำเป็นใดในการทำระบบภาพยนตร์ 4D เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการต้อนรับประชาชนที่มาเยี่ยมชมรัฐสภา และเนื้อหาอะไรที่ต้องใช้ระบบ 4D เท่านั้น แล้วจะทำให้ประชาชนหรือนักศึกษาอยากมาเยี่ยมรัฐสภาเพิ่มขึ้นอีกกี่คน หน่วยงานก็ตอบไม่ได้ ทำให้เห็นว่าโครงการนี้ไม่ได้ถูกคิดขึ้นมาอย่างละเอียด ส่วนโครงการศาลาแก้ว 123 ล้านบาท ก็ทำนองเดียวกันที่คำตอบวันนี้ไม่ได้ทำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน
ห้องประชุมงบประมาณ
สำหรับขั้นตอนต่อไป นายพริษฐ์ระบุว่า หวังให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรนำข้อสังเกตของกรรมาธิการและเสียงทักท้วงของประชาชนเข้าสู่ที่ประชุมผู้บริหาร ซึ่งมีประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรร่วมด้วย ในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ และขอให้ที่ประชุมมีมติออกมาอย่างลายลักษณ์อักษร ว่าหลังจากข้อทักท้วงของคณะกรรมาธิการและประชาชนแล้ว จะยุติการเดินหน้าโครงการใด
“เพราะไม่เพียงพอที่จะอ้างว่า ให้คณะกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณฯ ไปตัดงบประมาณเอาเอง ซึ่งจะเป็นการสร้างมาตรฐานให้ในอนาคต หน่วยงานสามารถเสนอโครงการที่ไม่สมเหตุสมผลเข้ามาได้ เพื่อให้ สส. ปรับลดเอง เป็นสิ่งสำคัญเมื่อได้ยินเสียงของประชาชน และถูกตั้งข้อสังเกตจากคณะกรรมาธิการแล้ว ที่ประชุมผู้บริหารควรมีมติที่จะทบทวนและยุติโครงการใด” นายพริษฐ์กล่าว
นายพริษฐ์ระบุว่า คำยืนยันของที่ประชุมผู้บริหารนั้น จะทำให้กรรมาธิการวิสามัญงบประมาณฯ ตัดงบประมาณดังกล่าวได้ง่ายขึ้น และสามารถป้องกันความเสี่ยงในอนาคตที่ถึงแม้จะถูกตัดงบประมาณออกไปแล้ว แต่ผู้บริหารงานจะใช้วิธีโอนงบประมาณส่วนอื่นกลับมารื้อฟื้นโครงการดังกล่าว แม้ไม่อยู่ในเอกสารงบประมาณ รวมถึงคำยืนยันจากที่ประชุมผู้บริหาร ยังมีโอกาสเรียกคืนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้บริหารรัฐสภาแห่งนี้ได้