ประเด็นเรื่องข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงร้อนแรง จะเห็นได้ว่าฝั่งกัมพูชาออกมาเคลื่อนไหวปลุกใจอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไทยรัฐบาลบอกเพียงว่ารอเจรจาพูดคุยกันก่อน พอนักข่าวจะสอบถามเรื่องนี้กับ นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อเช้าก็เลี่ยงการให้สัมภาษณ์ ล่าสุด นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน มองท่าทีนายกฯ ไม่มีความเป็นผู้นำ พร้อมตั้งข้อสังเกตที่ไม่กล้าเคลื่อนไหว หรือว่าจะใช้กัมพูชาเป็นช่องทางหลบหนีเผื่อมีเหตุอะไรเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวพีพีทีวี แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการของรัฐบาล กรณีข้อพิพาทระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ บอกว่า ตัวเองรู้จักกับสมเด็จฮุนเซน และ นายพลฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นการส่วนตัวเหมือนกับ อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร แต่มองว่าเรื่องนี้ต้องแยกแยะระวังเรื่องของชาติบ้านเมืองและความสัมพันธ์ส่วนตัว
ถ้าให้เปรียบเทียบความเคลื่อนไหวระหว่างไทย และกัมพูชา จะเห็นชัดว่าฝั่งกัมพูชา ไม่ว่าผู้นำจะโพสต์ หรือพูดอะไร ก็จะเอากระแสชาตินิยมเป็นหลัก ไม่เพลี่ยงพล้ำเรื่องดินแดน เพราะอาจเป็นแรงเหวี่ยงทางการเมือง กลับกันด้านรัฐบาลประเทศไทยกลับอ่อนแอ ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว เหมือนทำเพื่อสร้างความสบายใจให้กับฝั่งกัมพูชา แล้วสร้างความทุกข์ให้กับคนไทย
อย่างตัวนายกเอง เมื่อผู้สื่อข่าวไปสอบถามเรื่องความขัดแย้งนี้ กลับเดินหนีไม่ยอมตอบคำถาม แต่กลับมีการนัดพูดคุยแถลงผลเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ มองว่าแบบนี้อย่าว่าแต่การเรื่องการมีภาวะผู้นำเลย เป็นแค่ผู้ตามก็ยังไม่ได้เลย
นายจตุพร มองว่า ข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา ไม่น่าเกิดขึ้นในช่วงที่ตระกูลชินวัตรเป็นรัฐบาลปกครองบ้านเมืองเลย เพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก กับฝั่งผู้นำกัมพูชา อย่างลูกสาวของน้องอดีตนายกทักษิณ ก็ไปแต่งงานกับนักการเมืองฝั่งกัมพูชา ครอบครัวนายทักษิณกับสมเด็จฮุนเซน ก็เป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด จึงน่าสงสัยว่าเรื่องนี้มีอะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่
นายจตุพร ตั้งข้อสงสัยว่า สาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไรมากในเรื่องความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชานี้ ก็อาจเป็นเพราะว่า ถ้าในอนาคตเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น อาจมีคนใช้ประเทศกัมพูชาเป็นทางผ่านออกนอกประเทศได้ใช่หรือไม่
ส่วนกรณีที่นายทักษิณ ออกมาบอกว่า ได้โทรศัพท์ไปพูดคุยส่วนตัวกับผู้นำกัมพูชาแล้ว จะเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามตะกร้อ แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นฝั่งกัมพูชาก็นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมสภา แล้วจะนำเรื่องขึ้นศาลโลกให้ได้ ซึ่งมองว่าไทยมีโอกาสแพ้สูงมาก และเราก็เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อน ตั้งแต่สมัยปราสาทเขาพระวิหาร
นายจตุพร บอกว่า ทั้ง นายกรัฐมนตรี และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถ้ายังไม่ออกมาแก้ไขปัญหา ไม่แสดงออกถึงการปกป้องชาติบ้านเมือง ก็เชื่อว่า น่าจะมีประชาชนออกมาขับไล่แน่นอน อย่างวันพฤหัสที่จะถึงนี้ ก็ทราบว่าจะมีความเคลื่อนไหวที่กระทรวงกลาโหม เพื่อกระตุ้นการทำหน้าที่ของทหาร อย่างคนในกระทรวงกลาโหม ที่เคยเป็นอดีตทหารป่าออกรบอยู่กองทัพไทย มองว่า ตอนนี้ไม่เห็นท่าทีสู้เหมือนตอนนั้น มีแค่แม่ทัพภาค2 ที่ออกมาเคลื่อนไหว ส่วนตัวมองว่า “การรบเป็นหน้าที่ของทหาร แต่หน้าที่รัฐบาลในการแก้ไขปัญหา ถ้าไม่มีปัญญาทำก็ออกไปดีกว่า”
ส่วนที่ฝั่งกัมพูชา พยายามออกมาบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะรุนแรงเหมือนฉนวนกาซา นายจตุพร บอกว่า คำพูดดังกล่าวเพียงต้องการแสดงให้เห็นภาพว่า พื้นที่พิพาทนั้นเป็นเหมือนสนามสงคราม ที่มีการตะลุมบอนกันขึ้น ซึ่งถือเป็นคำพูดลักษณะปลุกใจประชาชนให้เห็นถึงความสำคัญของพื้นที่ ส่วนผู้นำฝ่ายเรา ได้แต่นั่งพับเพียบ นายจตุพรใช้คำว่า “การหลีกเลี่ยงการรบหรือใช้ความรุนแรง เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องแสดงออกให้เห็นถึงความแข็งแรงด้วย ไม่ใช่หน่อมแน้มไม่สู้อย่างเดียวเลย”