นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการเดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติวันนี้ (7 ก.ค. 68) เพื่อยื่นหนังสือต่อ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขอให้คัดค้านการเลื่อนขั้น พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท. นพ. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย) ผบ.ตร. ฝ่ายการแพทย์
โดยขอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยขั้นร้ายแรงข้าราชการตำรวจ 2 ราย ตามมาตรา 112 วรรคแรก และมาตรา 112 (1) เพราะมองว่าทั้ง 2 มีพฤติการทางราชการปฎิบัติหน้าที่ ช่วยเหลือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ออกจากเรือนจำมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 นาน 180 วัน
ตนจึงขอเรียกร้อง ผู้บัญชาการ ดำเนินการ 3 เรื่อง คือ
1. ขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว และหากพบมูลความผิด ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อไป
2. ขอให้สั่งย้ายข้าราชการตำรวจทั้งสองนายออกจากตำแหน่งเดิม ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลตำรวจโดยเด็ดขาด เพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรในโรงพยาบาลตำรวจที่มีข้อมูลสามารถให้ข้อมูลกับ ป.ป.ช. และศาลได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงกลัว
3. ขอให้ข้าราชการตำรวจทั้ง 2 นายทำรายงานชี้แจง กรณีการถูกสอบสวนโดยแพทยสภา และ ป.ป.ช. รวมถึงกรณีการเป็นพยานในศาลฎีกา เพื่อส่งประกอบการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ
อย่างไรก็ตาม ที่ตนมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติวันนี้เพราะมีข่าวปรากฏว่า ทั้ง 2 นั้นหลังจากปีที่แล้วก็เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นจากนายแพทย์ใหญ่ก็กลายเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. จากรองแพทย์ใหญ่ก็ได้เป็นแพทย์ใหญ่ ยังไม่รวมว่า ผอ.โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ก็ได้ย้ายไปเป็น ผบ.เรือนจำพิเศษมีนบุรี ที่มีการข้ามขั้นมากมาย
มีข่าวว่าทั้ง 2 กำลังจะได้มีการแต่งตั้ง โดยผู้บัญชาการแห่งชาตินำข้อมูลเข้าสู่คณะกรรมการข้าราชการ ซึ่งประธานคณะกรรมการข้าราชการขณะนี้คือ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่ถูกพักงานอยู่ และเป็นลูกสาวของนายทักษิณ
เพราะฉะนั้น การที่แพทย์สภามีมติสอบสวนใต่สวนไปแล้วเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า ทั้ง 2 ได้ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ และเมื่อมีมติให้ทั้ง 2 ถูกลงโทษนอกเหนือจากการที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้สัมภาษณ์ว่า ทั้ง 2 ได้พักการปฎิบัติงานในฐานะแพทย์ไปแล้ว
ซึ่งคำสั่งแพทย์สภานั้นก็ได้ส่งถึง 2 ท่านไปแล้ว สิ่งที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติควรทำต่อจากนี้ก็คือ ควรเอามติเเพทย์สภามาส่งให้กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจสอบ
โดย นพ.ตุลย์ ระบุต่อว่า การที่นายทักษิณได้ย้ายตัวจากเรือนจำมายังโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่มีหลักฐานปรากฎชัดเจนยืนยันจากมติเ เละการสอบสวนของแพทย์สภาแล้วการที่ข้าราชการอื่น ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะเข้าข่ายมาตรา 157 ผิด พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ
วันนี้ ตนจึงมาเพื่อเรียนต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตั้งคณะกรรมการตรวจสอบตามมาตรา 117 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 ทั้งนี้หากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ทำหน้าที่ในฐานะผู้บังคับบัญชา สอบวินัยท่านก็จะมีความผิดเสียเอง
อย่างไรก็ตาม นพ.ตุลย์ กล่าวว่า ตนอยากในการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ เป็นไปด้วยความโปร่งใสและคุณธรรมไม่เป็นที่ครหา โดยหลังจากยื่นหนังสือที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ตนจะเดินทางไปยังศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้อีกครั้ง เพื่อให้ตรวจสอบและป้องกันไม่ให้มีการเลื่อนตำแหน่งบุคคลที่อยู่ระหว่างการสอบสวน และถูกชี้มูลว่ากระทำผิดจริยธรรม ทั้งจากแพทยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป