นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะศิษย์เก่า วปอ.รุ่น 61 ร่วมพิธีแถลงผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 67 ที่สถาบันป้องกันประเทศ
โดยนายอนุทิน กล่าวรายงานตัวว่า “ผมอนุทิน พี่หนู วปอ.61 นกหัวขวานรายงานตัว” ทำให้ผู้อยู่ในห้องประชุมเฮลั่น พร้อมกล่าวต่อว่า พี่ๆ ทั้งหลายที่อยู่ในห้องประชุมนี้กว่า 90% เรารู้จักกันมาก่อน จึงขออนุญาตพบปะทุกคน ในฐานะศิษย์เก่า วปอ. ที่ผ่านมา ตนมาทุกปี ในฐานะ วปอ. รุ่น 61 และช่วงใกล้จบการศึกษาปี 62
ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จำได้ว่ามีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้มาฟังผลการแถลงการณ์การศึกษาด้วย และตนก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ขึ้นมาแถลงผลการศึกษา ก็เหมือนกับที่นักเรียน 7-8 คน ที่ขึ้นมาแถลงไปเมื่อสักครู่นี้
สำหรับตนมองเห็นคุณค่าการเป็นนักศึกษา วปอ. อย่างมากมาย อาจจะมีมุมมองต่างจากผู้นำรัฐบาลท่านอื่น เพราะถือว่าหลักสูตรนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง และเมื่อสักครู่ได้นั่งฟังการแถลงผลงาน ก็ให้ถือว่าวันนี้รับนโยบายจากนักศึกษา วปอ.ปี 67 และรู้สึกแปลกใจ เหมือนได้ฟังเพลงพรหมลิขิต “ดลบันดาลชักพา ให้เรามาพบกันทันใด” เพราะช่างเหมือนกับนโยบายที่ตนกำลังจะแถลง อาจจะต่างกันเพียงแค่ถ้อยคำที่บัญญัติไว้แต่ละเรื่องของกรอบความคิด แนวทางและยุทธศาสตร์ ตรงกัน
ซึ่งจากนี้ไป เราต้องใช้หลักเชิงฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ คือจับต้องได้ เทคโนโลยีต้องทันโลกทันสมัย ทันท่วงที ไม่ใช่ล้าหลัง ซึ่ง 4 หลักการที่นักศึกษา วปอ.67 เสนอมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ทั้งหมด จึงคิดว่าอยากมาเรียนรุ่นที่ 67 เพราะแนวทางตรงกับแนวคิดของตน เพราะที่ผ่านมาจะเลือกเดินทางในต้องพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ และรวมเอาหลักเอ็นเจเนริ่งที่เรียนมานำมาประกอบเพื่อความแข็งแกร่ง ทั้งนี้ในนชีวิตเวลาจะวางแผนอะไร ตนจะยึดหลัก STEM ตามที่นักศึกษาว่ามาและต้องกลับเรียนตรงตรงว่า ไม่เคยพลาดเลย ดังนั้นหลักของคนที่จะโตขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ทั้งภาคข้าราชการและภาคเอกชน
นายอนุทิน ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลของตน ที่กำลังจะเริ่มทำงานต้นสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป น่าจะเดินไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้วันนี้ต้องรีบมาก่อนเพราะไม่รู้ว่าปีหน้าจะได้มาหรือไม่ วันนี้จึงต้องมาในฐานะศิษย์เก่า โดยรุ่นปี 61 ของตนไม่มีเพียงแค่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่ก็มีครบทุกเหล่าทัพ ตนจะขับเคลื่อนด้วยรัฐบาลด้วยหลัก STECCC ประกอบด้วย
Systematic-ขับเคลื่อนต้องมีระบบ Thainess-ความเป็นเอกลักษณ์ของไทย เชื่อถือได้ ราคายุติธรรม , Exponentail-ขยายศักยภาพแบบเขย่งก้าวกระโดด เปิดช่องทางให้ไทยไปยืนบนเวทีโลกได้ , Connectivity-เชื่อมต่อ สายสัมพันธ์ เงินก็ซื้อไม่ได้ , Continuevity-ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด และ Costructive-คิดเป็นบวก คิดก้าวหน้า และวันนี้ปัญหาคอร์รัปชั่นถึงเวลาแล้วเราต้องแก้ และคนไทยรังเกียจเดียดฉันท์ ความไม่โปร่งใสไม่สะอาด ทั้งทางการทำงาน จิตใจ รักชาติรักแผ่นดินคนไทย ซึ่งตอนนี้เริ่มมีการแบ่งแยกแล้ว และใครที่เคยดูถูกว่าพลังมวลชนไม่มีความหมาย ลองพูดว่าเปิดด่าน เกี๊ยเซี๊ยะ หรือยอมเขา แล้วท่านจะรู้ว่านรกมีจริง
นายอนุทิน กล่าวต่อว่าแม้ว่ารัฐบาลมีเวลาไม่มาก แต่เราจะทำให้ความคาดหวังและความตั้งใจของพวกตนไปบรรจบกันที่เป้าหมาย แยกกันเดินรวมกันตี ทหารก็รบไป คิดยุทธศาสตร์ไป รัฐบาลก็หาวิธีกดดันกัน วันนี้ยอมไม่ได้ เราต้องไล่ตี กำหนดเงื่อนไขเชิงรุก คนที่มีปัญหากับเราต้องยอมรับ ประเทศไทยได้เปรียบทุกประตู ทั้งทางเศรษฐกิจ แสงยานุภาพ เมื่อได้เปรียบแบบนี้จะให้เรายอมก่อนไม่ได้ ตนกับรัฐมนตรีง่าการกระทรวงกลาโหมและทุกเหล่าทัพ จะใช้แนวทางนี้ดำเนินยุทธศาสตร์ต่อกรกับคนที่เรามีปัญหาอยู่ ชายแดนกัมพูชาต้องมีคำตอบมีผลลัพธ์ให้ประเทศไทย ที่สำคัญต้องไม่สูญเสียอะไรไปมากกว่าที่เคยสูญเสียไปแล้ว
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง ที่มีประโยชน์เพราะมีส่วนร่วมกับประชาชน โดยมีการแชร์กันโดยรัฐบาลจะทำรัฐบาลทำโครงกลางพลัส เป็นแรงจูงใจให้คนที่เสียภาษี 60:40 และมั่นใจกระตุ้นเศรษฐกิจให้เร็วรัฐบาลมีเวลาไม่มากแต่อาจทำทุกอย่างที่ค้างท่อ โดยเร่งปัจจัยทั้งหลายให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่เวลาที่เรามี รัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่มีปัญหา พรรคร่วมไม่มีการไม่สนับสนุนกัน ทุกอย่างเป็นประโยชน์กับประเทศถือว่าเป็นบิ๊กวิน ของประเทศ
ในช่วงท้ายนายอนุทินกล่าวด้วยว่าวันนี้ ตนได้พลโทอดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เข้ามาช่วยงาน กระทรวงกลาโหม ซึ่งความที่เป็นรุ่นเดียวกัน กับผู้บัญชาการทหารบก และเป็นรุ่นเดียวกันกับแม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบัน ซึ่งเมื่อท่านเข้ามาปฏืบัติงานคงจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการแก้ไขปัญหา ชายแดนไทยกัมพูชา และน่าจะทำให้ความกังวลต่างๆของพวกเรา ได้คลายลงไปให้มากที่สุด
ดังนั้น วปอ.ต้องมีอยู่ และต้องมีต่อไป คนที่มีประสบการณ์และคุณสมบัติต้องมาอยู่ร่วมกัน และสร้างบ้านแปลงเมือง ให้เจริญก้าวหน้า อย่างไม่มีที่สิ้นสุด