ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภานัดพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอโดย 3 พรรคการเมือง ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาเป็นประธานในการประชุม โดยนายเชตวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน อภิปรายว่า มีอาจารย์คนหนึ่ง ถามว่าถ้าเปิดอ่านรัฐธรรมนูญควรจะไปดูมาตราใดก่อนเป็นอันดับแรก ก็คือ มาตรา 279 ในหมวดเฉพาะการ ที่สรุปได้ว่าการกระทำใดของ คสช. ถือว่าถูกทั้งหมด
นี่คือตลกร้ายและไม่น่าเชื่อว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ คนไทยใช้ชีวิตภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาแล้ว 8 ปี
ทั้งที่รู้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหา คือ 1.ร่างโดยกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยประชาชนไม่มีส่วนร่วม 2. ร่างโดยคนที่ คสช.จิ้มมา และ 3. ร่างโดยมีเนื้อหาวางกลไกสืบทอดอำนาจอย่างหน้าไม่อาย
เกือบ 2 ทศวรรษที่เราอยู่ในวังวนความขัดแย้งนี้ รัฐธรรมนูญที่ควรเป็นเจตจำนงของประชาชน กลับถูกใช้เพื่อความได้เปรียบทางการเมือง และถูกใช้เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม ประชาชนต้องติดคุก นักการเมืองถูกตัดสิทธิ์พรรคการเมืองถูกยุบ เรายังอยู่ในวังนี้นี่คือเหตุผลที่เราต้องมาพูดคุยกันเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายเชตวัน ยังกล่าวว่า การอยู่ร่วมกันมีสิ่งที่เรียกว่าการใช้อำนาจระหว่างกัน จะอยู่ด้วยกันได้ก็ต้องมีข้อตกลงร่วมกันและรัฐธรรมนูญก็คือข้อตกลงร่วมกันในการอยู่ร่วมกันในสังคม ดังนั้นวันนี้เราจะมาร่วมแก้ไขปัญหารัฐธรรมนูญเพื่อเปิดประตูให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ
“พูดอย่างถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจจะมากำหนดวิธีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แบบที่พวกเราต้องพยายามทำตามที่ศาลสั่งกันอยู่นี้ด้วย เพราะศักดิ์อำนาจไม่เท่ากัน ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ กำเนิดมาจากรัฐธรรมนูญและใช้อำนาจที่รับมาจากรัฐธรรมนูญ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าจะมาสั่งประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ถ้าเป็นอย่างนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็เหนือกว่ารัฐธรรมนูญ อำนาจอธิปไตยเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ที่เราต้องมาทำกันวันนี้เพื่อให้มันพอไปกันได้ เพื่อเปลี่ยนผ่านก้าวแรกให้ได้ ไขกุญแจดอกแรกเพื่อเปิดสู่ประตูบานต่อๆ ไป ที่เข้ารูปเข้ารอยกว่าเดิม” นายเชตวันกล่าว
นายเชตวัน ยังกล่าวอีกว่า นับตั้งแต่เป็นประชาธิปไตย ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแค่เพียง 3 ฉบับ ที่จัดทำโดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน มีเนื้อหาและเป้าหมายที่เป็นประชาธิปไตย คือ 1. รัฐธรรมนูญ 2489 ร่างขึ้นหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงรัฐบาลพลเรือนที่ ปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี 2. รัฐธรรมนูญ 2517 ร่างขึ้นหลังเหตุการณ์ขบวนการประชาชนได้รับชัยชนะ 14 ตุลาคม 2516 ในช่วงรัฐบาลพลเรือน สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และ 3. รัฐธรรมนูญ 2540 ร่างขึ้นหลังเหตุการณ์ขบวนการประชาชนได้รับชัยชนะ พฤษภาคม 2535 ในช่วงรัฐบาลพลเรือน บรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสดีที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นรัฐบาลพลเรือน จะได้จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์
“ผมลองเทียบกับชื่อนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 ท่าน ที่มีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ พร้อมกันนี้ก็ฝากคำถามที่เป็นเหมือนความคาดหวังไปถึงคุณอนุทินว่า ‘ปรีดี’ คุณอนุทินจะทำให้ประชาชนปรีดีปรีเปรมด้วยการไขกุญแจเพื่อเปิดประตูไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้หรือไม่? ‘สัญญา’ คุณอนุทินจะแก้รัฐธรรมนูญพาไปสู่การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนได้หรือไม่? และ ‘บรรหาร’ คุณอนุทินจะบรรหารหรือบริหารประเทศไปสู่การมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่? อย่าให้ประชาชนไม่ปรีดี อย่าต้องกลายเป็นคนผิดสัญญา และอย่าให้ต้องถูกตราหน้าว่าบรรหารประเทศไม่เป็น เพราะไม่อย่างนั้น คำว่าอนุทินที่แปลว่าการบันทึกเรื่องราว ก็จะเป็นการบันทึกเรื่องราวซึ่งเป็นความด่างพร้อยในชีวิตของท่าน” นายเชตวันกล่าว