นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวบนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ระบุว่า ช่วงทำงานตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา คิดว่าเราได้พยายามบรรลุเป้าหมาย ในทุกเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากบอกกับตัวเองว่าเรามีเวลาอยู่เพียง 4 เดือน ในการบริหารราชการแผ่นดินแบบเต็มรูปแบบโดยอำนาจเต็ม ก่อนที่จะเข้ามา ได้มีการเร่งประชุม และมีการวางกรอบการทำงานเอาไว้ว่าใน 4 เดือนนี้ จะเป็น 4 เดือนที่ทำงานอย่างเดียว
สิ่งไหนที่เราทำได้เราก็จะเร่งทำ อะไรที่ทำไม่ได้ภายใน 4 เดือนก็ต้องรอให้รัฐบาลใหม่มาทำ โดยมุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบควิกวิน ในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงที่เรามีประเด็นกับประเทศเพื่อนบ้านเราอยู่ รวมถึงเรื่องของการเร่งฟื้นฟูและเยียวยาประชาชน ที่ได้รับความเสียหายจากความขัดแย้งจากประเทศเพื่อนบ้าน และภัยธรรมชาติ
กรณีที่มีการตั้งคำถามว่า 4 เดือนจริงหรือไม่ในการยุบสภา นายอนุทินกล่าวว่า ในบริบท 4 เดือนคือสิ่งที่เราได้มีสัญญาไว้กับทางพรรคประชาชน ตาม MOA ที่เราได้ลงไว้ และการที่ตนได้มาเป็นรัฐบาลต้องเรียนว่า เราได้มีการพูดคุยกับพรรคประชาชนว่า ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองขณะนั้นการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่คืออำนาจให้กับประชาชนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ตอนนั้นไม่มีคนยุบสภาแม้กระทั่งที่เป็นรัฐบาลอยู่ ณ เวลานั้นก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่าเราจะมีนายกรัฐมนตรีที่ยุบสภาหรือไม่เพราะตัวนายกรัฐมนตรีตัวจริงไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่
จากที่เราคุยกับพรรคประชาชนแล้วเห็นพ้องตรงกันว่า ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่น่ามีอำนาจในการยุบสภา เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีวิธีการดำเนินการเพื่อให้มีการยุบสภา ซึ่งทางพรรคประชาชนเองก็ไม่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เราเล่นตามกติกาอยู่แล้ว แม้พรรคประชาชนจะมี สส.มากกว่า แต่ไม่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จึงเป็นที่มาว่าเราคิดว่าควรเลือกตั้ง คืนอำนาจให้ประชาชนจึงเป็นที่มาของ MOA
นายอนุทิน กล่าวต่อว่าก็นั่งยันนอนยันมาโดยตลอด และไม่เคยเปลี่ยนความคิด แม้จะมีคนบอกว่าอาจมีหลายเหตุการณ์ ทำให้เป็นข้ออ้างซึ่งตนก็รับฟังแต่ตนก็ไม่ปฏิบัติตามแน่นอน เพราะในฐานะที่เราทำงานร่วมกันกับพรรคประชาชน ก็ต้องยอมรับว่าพรรคประชาชนทำให้ตนได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นตนต้องรักษาสัญญาที่ตนมีไว้ให้กับพรรคประชาชน และเมื่อครบ 4 เดือน ก็ต้องยุบสภาไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น
ส่วนกระแสข่าวว่าจะมีการเลื่อนให้ยุบก่อน หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ด้านนายอนุทิน กล่าวว่าตรงนี้เป็นเรื่องที่ตนต้องดูสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจไปเป็นไปด้วยวัตถุประสงค์อะไร หากวัตถุประสงค์กระทำเพื่อให้เกิดเป็นการล้างแค้น เอาคืน ถ้าถามตน ตนก็ต้องดูไทม์ไลน์ การเปิดสภาด้วยซึ่งตนก็มีความตั้งใจว่าจะยุบสภา 31 ม.ค. 2569 อยู่แล้ว และตนคงไม่ปล่อยให้ใครด่ารัฐบาลฟรีๆ หากเป็นเกมการเมือง และหากรัฐบาลสู้เกมการเมืองไม่ได้ก็ต้องยุบสภาไป ห่างกันเดือนเดียวก็คงไม่ได้เกิดความแตกต่างอะไรมากนัก เพราะฉะนั้นเราจะไปตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ตนมั่นใจก็คือ 4 เดือน ที่ตนทำงานและรัฐบาลที่ทำงานก็ตั้งใจอย่างเต็มที่ว่าจะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบ้านเมือง ด้วยทีมงานมืออาชีพที่ตนได้เชิญเข้ามาร่วม
ซึ่งรัฐมนตรีแต่ละคนก็เสียสละมาก พร้อมทั้งรายได้และบทบาทรวมถึงอนาคตต่างๆ ของคนนั้น แต่ตนก็พูดให้เขาฟังว่าถ้าเขามาทำแล้วเปลี่ยนบริบทประเทศไทยได้-สร้างมาตรฐานใหม่ในการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีระบบโควต้าและทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมา เราก็คิดว่าเราน่าจะมีประเทศไทยที่เปลี่ยนไป และทุกอย่างสามารถเปลี่ยนได้ชั่วข้ามคืนหากเราตั้งใจทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
“เอาความเป็นส่วนตัวออก เอาคำว่าพรรคพวกออกเมื่อไหร่ ประเทศไทยกลับมาได้เร็วซึ่งตนก็เชื่อว่าตนมีตรงนั้นอยู่ ” นายอนุทิน กล่าว
หากถามว่าตนพร้อมหรือไม่สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ ตนพร้อมตั้งแต่เขาเอาตนออกจากรัฐบาลแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องการเลือกตั้งหากไปถามสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ในวันที่เข้าสภาเมื่อปี 2566 หลังจาก กกต.คอนเฟิร์มเลือกตั้ง ตนก็พร้อมเดือนหน้าเลือกตั้งแล้ว และตนได้ปลูกฝังคนในพรรคภูมิใจไทยของตนเสมอว่า ถ้าพรุ่งนี้มีการเลือกตั้งเราก็ต้องพร้อมเสมอ
อย่างไรก็ตาม นายอนุทิน กล่าวถึงการเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ก็ดีเหมือนกันเป็นนายกฯ เราต้องพร้อม ตอนแรกที่ยังไม่ได้เป็นก็ กลัวๆ กล้าๆ แต่พอตอนนี้เป็นแล้วคิดว่าหากเราทำได้ดีการเป็นยาวหรือเป็นสั้นนั้นไม่ได้มีความสำคัญ เป็นแล้วก็คือเป็น ในอดีตสมัยปี 2547 - 2549 ที่ตนได้เป็นรัฐมนตรีแล้วเกิดการรัฐประหาร ตนออกไปจากการเมือง13 - 14 ปี ซึ่งคนที่รู้จักตนเขาเรียกตนว่ารัฐมนตรีทุกครั้งเพราะฉะนั้น ตอนนี้ถึงแม้ว่าตนจะเป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 3-4 เดือน จากนี้ไปคนก็คงเรียกตนว่านายกรัฐมนตรีเหมือนที่ตนเรียกอดีตนายกรัฐมนตรีว่า ท่านนายกฯ ทุกครั้ง
ฉะนั้นในเวลาที่มีอยู่ ก็อยากที่จะทำอะไรที่จะให้ปังซักอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดและสร้างภาพจำของคน ส่วนจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น เราถือว่าเราได้บอกตัวเองแล้วว่าขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี เราได้ทำสิ่งเหล่านี้ไป
ส่วนกรณีที่มีคนมองว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการฟอกเงิน จากเหตุสแกมเมอร์นั้น นายอนุทินกล่าวว่าเราต้องสร้างความเข้าใจ ก่อนที่จะบอกว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินนั้น ตนก็รู้สึกว่าไม่แฟร์ เพราะสแกมเมอร์ไม่ใช่ธุรกิจที่ผิดกฎหมาย แต่เป็นธุรกิจที่น่ารังเกียจ
ทั้งนี้ สแกมเมอร์ส่วนใหญ่ก็จะเลือกอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ได้เลือกอยู่ในประเทศที่มีช่องว่างทางกฎหมาย ประเทศไทยไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่ดันอยู่ตรงกลางบริเวณประเทศที่เขาสามารถทำสแกมเมอร์ได้ และการที่ประเทศไทยมีความน่าเชื่อถือที่สุดในภูมิภาคนี้ มีค่าเงินบาทก็เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ ประเทศไทยจึงเป็นตลาดรองรับที่ดีที่สุด และเราอยู่ตรงกลางพอดีจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ พวกที่ทำเรื่องธุรกิจ สแกมเมอร์ ค้ามนุษย์ หรือธุรกิจสีดำ จึงใช้ประเทศไทยเป็นฐาน
ทั้งนี้สิ่งที่เราต้องทำให้ได้ในประเทศไทยก็คือ มีกฎหมายที่เคร่งครัด เข้มงวด มีเจ้าหน้าที่ที่ตั้งใจปราบปรามเรื่องนี้ และเรามีกลไกลที่สามารถปราบได้ เช่น ปปง. สตช. ที่เข้มข้นในการปราบปรามและทำไปมากแล้ว แต่ไม่พูดเพราะเป็นเรื่องของการปฏิบัติการลับ ตนย้ำว่าเราต้องอยู่กับคนทำผิดเสมอ ทำตัวแบบตำรวจจับโจรไม่ได้ ซึ่งตนได้บอกไปหมดแล้วว่า 4 เดือนนี้ หากต้องการอะไรในการสนับสนุนเพื่อป้องกันเรื่องพวกนี้รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่ และนายกรัฐมนตรีให้คำยืนยันและย้ำกับ ผบ.ตร.,เลขาฯ ปปง.,เลขาฯ สมช., เลขาฯ หน่วยตรวจสอบต่างๆ ว่า เราเป็นรัฐบาลไม่มีนักเลงคนไหนหรือมาเฟียคนไหน ไม่มีขาใหญ่คนไหนที่จะใหญ่กว่ารัฐบาลได้ ในเมื่อรัฐบาลไม่กลัว ผู้ปฏิบัติก็ต้องไม่กลัว
ที่ผ่านมาเรามีผลงานตลอด ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเรามีการปราบปรามยาเสพติดไปกว่าหลายล้านเม็ด มีการยึดทรัพย์จากผู้กระทำผิดสแกมเมอร์กว่า 20,000 ล้านบาท ดำเนินคดีไปเยอะแล้ว แต่ของพวกนี้จะบอกได้อย่างไร เพราะเป็นการสืบทางการลับ ขยายผลไปเรื่อยๆ ก็ไปถึงขั้นตอนถอนสัญชาติรายใหญ่รายหนึ่งในประเทศไทย ที่อยู่มากกว่า 30 ปี ซึ่งรัฐบาลของตนที่เข้ามาเพียง 3 อาทิตย์ ดำเนินการเรียบร้อยโดยที่ไม่มีปัญหาอะไร