10 ปีในวงการ พระเอกฮอต “เจษ เจษฎ์พิพัฒ” ตั้งเป้าหมายที่ปัจจุบัน เพื่อสานต่ออนาคต
แจ้งเกิดเป็นดาวดวงใหม่ สำหรับพระเอกมาดนิ่ง ก้อง - วิทยา เทพทิพย์ ที่นอกจากความหล่อทะลุจอแล้ว ยังโกยคำชมจากแฟนละครทั่วบ้านทั่วเมือง ฮอตปรอตแตกขนาดนี้ “พีพีทีวี นิวมีเดีย” รีบคว้าตัวมาคุยแบบหมดเปลือก
ทั้งเรื่องราวชีวิตที่ยิ่งกว่าละคร จากเด็กหนุ่มเกเร ตามหาแม่ผู้ให้กำเนิด สู่การเป็นนักแสดงที่เจองานหินตั้งแต่ก้าวเข้ามา พร้อมบทพิสูจน์ที่กว่าจะมาถึงวันนี้ที่ปลดล็อกปมในใจได้แล้ว
แจ้งเกิดเป็นดาวรุ่งมาแรง?
“ผมดีก็ดีใจครับที่ทุกคนชอบ ขอบคุณที่ให้การสนับสนุน หายเหนื่อยเลยครับ (ยิ้ม) ถามว่าผมเช็คฟีดแบคไหม ก็ทุกอีพีครับ ผมหัดเล่นทวิตเตอร์เพราะละคร ‘สิเน่หาส่าหรี’ เลย ผมก็ส่องทวิตเตอร์ยันตีสอง ก็มีไปตอบหรือรีทวีตบ้างครับ (ยิ้ม) กับละครเรื่องนี้ผมทำการบ้านค่อนข้างหนัก ต้องทำการบ้านหลายพาร์ทมากๆ อ่านบทหลายรอบ และมีการทำเวิร์คชอปด้วยครับ กับบท ‘เจ้าชายชัยทัศน์’ ที่ค่อนข้างสุขุม ผู้กำกับก็ให้ไปศึกษาเพิ่มเติม ช่วงแรกๆอาจจะยาก ผมว่าการสื่ออารมณ์ทางสายตายากที่สุดของการแสดงแล้วครับ แต่พอเล่นไปสักพักปรับจูนได้ ก็โอเคครับ และการที่ผมได้ร่วมงานกับคนที่มากประสบการณ์ผมได้อะไรเยอะมากๆ ได้ซึมซับการแสดง ได้เห็นวิธีการเล่าเรื่องของแต่ละคน การไปถ่ายละครก็เหมือนได้ไปเรียนด้วย ก็ได้ประสบการณ์ในทุกๆวัน”
การทำงานตรงนี้ยากหรือง่ายยังไงสำหรับเรา?
“มันยากและกดดัน แต่มันสนุกครับ ผมว่าการแสดงสามารถเรียนรู้ไปได้เรื่อยๆไม่จำเจ มีอะไรให้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ผมชอบครับ คือเวลาทำงานผมกดดันทุกเรื่องเลย แต่ผมเองจะไม่ได้เอาความคาดหวังของทุกคนมาแบกไว้ ผมจะไปแบกตัวละครและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดในตอนที่ทำงาน แล้วพอผลงานออกมาก็จะนั่งดู ซึ่งก็ยังเห็นว่ายังมีจุดที่ผมต้องพัฒนาหรือต้องแก้อีก”
เคยคิดไหมว่าตัวเองจะได้เข้ามาทำงานในวงการ?
“จริงๆแล้วตอนเด็กๆผมอยากเป็นนักฟุตบอล ผมชอบเวลาได้เตะบอล มันเหนื่อยแต่สนุก และผมเองก็จะเป็นสายกีฬาเลย ก็เล่นหลายอย่าง เช่น มวย , เปตอง , ตะกร้อ , ฟุตบอล , วิ่ง ฯลฯ”
เข้าวงการมาเจองานหิน?
“ตอนแรกที่เข้ามาทำก็งงไปหมดเลย ไม่เข้าใจ การแสดงก็ไม่เคยเรียน ไม่รู้อะไรเลย ตอนแรกๆผมเป็นคนเงียบกว่านี้อีกนะครับ (หัวเราะ) คือตอนเล่นเอ็มวี ถ่ายแบบ ไม่ค่อยได้พูดอยู่แล้วด้วย
แรกเริ่มที่การทำงานของผมคืออยากมีเงิน อยากมีงานทำ ยังไม่รู้จักการแสดงขนาดนั้น พอเข้ามาปุ๊ปก็งูๆปลาๆไป แต่ก็โอเค ผมจำได้เลยว่าละครเรื่องแรก ฉากแรกโอ้โห! 20 เทค แค่เดินผ่านเฉยๆด้วยนะ ไม่ได้ทำอะไรเลย (หัวเราะ) ผมเดินเป็นหุ่นเลย เรื่องนั้นก็เจอ “พี่อาร์ต” (อาร์ต จาริวัฒน์) ผู้กำกับ ไม่ปล่อยผ่านเลยครับ ผมเองไปดูมอนิเตอร์ก็รู้สึกว่าไม่ได้จริงๆ
และก่อนที่จะมาถ่ายละครผมเรียนกับพี่อาร์ตมาก่อน เป็นครูคนแรกของผมเลย วันนั้นก็โดนตีมือจนแดงไปหมดเลย จำได้ว่าถ่ายประมาณ 8-9 ฉาก แต่ละฉากก็หลายเทค กลับบ้านไปร้องไห้เลย แต่ไม่ได้ร้องแบบฟูมฟายนะ คือรู้สึกนอยด์ เฟล ว่าทำไมถึงทำไม่ได้ บอกตัวเองไม่เอาแล้วนะ เหนื่อย ถามตัวเองว่ามาทำอะไรตรงนี้
แต่ผมก็ทำต่อนะ วันรุ่งขึ้นไปกองถ่ายพยายามทำให้ได้ ต้องทำให้จบ ก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ทำการบ้านให้มากขึ้น เรียนรู้ให้มากขึ้น ก็ใช้เวลาปรับตัวอยู่นานพอสมควร ซึ่งพอได้เล่นไปเรื่อยๆ ได้รับโอกาสเล่นละครอีกผมก็เริ่มชอบ มีความสนุกกับการทำงานมากขึ้น การแสดงก็โอเคขึ้น พี่อาร์ตยังพูดกับผมเลยว่าสมกับการนั่งด่า (หัวเราะ)”
พิสูจน์ตัวเองได้แล้วในเรื่องของการแสดง?
“สนุกครับ สนุกขึ้นเรื่อยๆ จริงๆแล้วตัวผมเป็นคนขี้เขินขี้อายมากๆ ไม่กล้าแสดงออก เห็นกล้องถ่ายรูปไม่ได้เลย วิ่งหนี แต่พอไปเล่นละครผมรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยผ่านตัวละคร ทำให้ออกจากเซฟโซนตัวเองมาบ้างแล้ว ด้วยความที่เป็นคนพูดน้อย คนที่จะเข้าหาผมคือเข้ามาได้เลย ผมไม่ได้เป็นคนมีกำแพงขนาดนั้น แต่แค่ว่าผมเป็นคนขี้เขิน ขี้อาย ซึ่งผมก็เข้าไปคุยกับคนอื่นก่อนได้นะ แต่อาจจะเป็นแพทเทิร์นแค่นั้นเอง (หัวเราะ) ตอนนี้ก็มั่นใจในตัวเองมากขึ้น เลยกล้าพูดมากขึ้น ก็ปรับตัวเองเยอะเหมือนกัน ด้วยการที่อยู่ตรงนี้เราต้องเจอคนมากมายด้วยครับ”
“ก้อง” วัยเด็กเป็นยังไง?
“ก็แสบ เป็นเด็กดื้อเงียบคนนึงเลยครับ (หัวเราะ) และตอนเด็กผมก็อยู่ 2 คนกับย่าทวดที่แม่ฮ่องสอน ก็มีเหตุให้ไปบวชเลยไม่ได้สานต่อเรื่องฟุตบอล เพราะความดื้อของผมนี่แหละครับ ผมเคยโดนไล่ออกมาจากโรงเรียนมา 3 ที่ เพราะไม่เข้าเรียนและมีเรื่องการใช้กำลังด้วย ที่ตัดสินใจไปบวชเพราะผมสงสารย่าทวด ท่านแก่แล้วต้องมาดูแลเด็กดื้อ ท่านเคยบอกกับผมหลายครั้งว่าอยากให้บวชแต่ผมก็ปฎิเสธ พอมาถึงจุดนึงที่ผมคิดได้ก็สงสารย่าทวด ก็ไปบวชเรียนอยู่ 4 ปีครับ เปลี่ยนผมหลายอย่างเลย มีความรับผิดชอบมากขึ้น รู้จักวางแผนชีวิตมากขึ้น
ย่าทวดผมเสียตอนที่ผมบวชได้ประมาณปีครึ่ง ก็เป็นหนึ่งจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะผมกับย่าทวดอยู่กันมาสองคนตั้งแต่ผมเกิด พอท่านเสียชีวิตผมก็ต้องใช้ชีวิตคนเดียว ระหว่างบวชก็ค่อยๆคิดและก็มีท่านอาจารย์ก็สอน พอสึกออกมาก็ไม่กลับบ้านเลือกไปอยู่เชียงใหม่เพื่อหางานทำ ตอนนั้นอายุ 17 ปี ก็เหมือนเสียศูนย์ไปนิดนึง
ตอนมาเชียงใหม่ก็คิดแค่ว่าจะมาหางานทำ อยากมีเงิน ก็ได้งานแรกเป็นบาริสต้าทำอยู่ 4 ปี แล้วก็เดินสายออดิชั่น มีคนมาชวนไปถ่ายแบบบ้าง แคสโฆษณาบ้าง แล้วก็เจอพี่ผู้จัดการชวนมาแคสเล่นมิวสิกวิดีโอ ก่อนหน้าเข้าช่องวันก็มีงานมาบ้างแล้วครับ ช่วงที่ถูกทาบทามมาทำงานสายนี้ผมก็ตัดสินใจเลย ผมอยากลอง ทางร้านกาแฟที่ผมทำงานด้วยเขาก็เข้าใจ เขาก็อยากให้ผมมีงานเสริมในช่วงนั้น เพราะผมเองก็ตัวคนเดียว”
สู้มาเยอะกว่าจะมีมาถึงวันนี้?
“ก็สู้มาเยอะครับ โตมาหลายสังคม เจอมาเยอะเหมือนกัน แต่ละสเต็ปชีวิตก็สอนให้ผมโตขึ้น คิดแบบผู้ใหญ่มากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น ยิ่งอยู่ตัวคนเดียวก็ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบมากด้วย
ตั้งแต่สึกออกมาผมก็ลืมไปเลยว่า “ก้องคนเดิมเป็นแบบไหน” เหมือนเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมโชคดีที่ตอนบวชผมเจออาจารย์ที่ดีมากๆ ท่านสอนผมหลายอย่างมาก ผมเองได้รับคำสอนมาเยอะ ทุกครั้งที่จะหลุดก็จะมีคนมาช่วย เวลาที่ผมเซก็จะนึกถึงคำสอนที่ว่า ‘ใช้ชีวิตมีครรลองประคองสติ อย่าไปเบียดเบียนใคร ทุกครั้งที่แก้ปัญหาไม่ได้ให้หลับ พรุ่งนี้จะมีทางแก้เอง’ ก็เป็นคำสอนของอาจารย์ที่สอนตอนผมบวชครับ
ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ตามหาแม่ผู้ให้กำเนิด?
“ครับ ผมเกิดมาก็ไม่เห็นหน้าแม่ อยู่กับย่าทวดมาตลอด ได้เจอแม่ครั้งแรกตอนอายุ 20 ปี จริงๆผมอยากเจอแม่ตั้งแต่เด็กๆแล้ว อยากรู้ว่าเป็นใคร หน้าตายังไง เพราะรูปแม่ก็ไม่มี จะมีรูปแค่รูปตอนผมเป็นเด็กยืนอยู่มีมือแม่จับไว้ ซึ่งเห็นแค่มือแม่แค่ครึ่งเดียว ตลอดเวลาผมก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน เพราะเป็นเด็ก พอผมไปบวชอาจารย์ท่านก็ช่วยตามหา ตอนเป็นเณรไปหามาครั้งนึง ก็เจอบ้านแต่ไม่เจอแม่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ตามหา
แล้วตอนมาทำงานที่ร้านกาแฟ วันนึงนั่งกินข้าวอยู่หลังร้านก็เซิร์ทเฟซบุ๊กเป็นชื่อแม่ ก็เด้งขึ้นมาผมเลยลองทักไป สรุปเป็นแม่จริงๆ แม่ก็โทรกลับมา อีกอาทิตย์นึงก็ได้ไปเจอแม่ และเซอร์ไพรส์อีกอย่างนึงคือผมมีน้องสาวอีกคนนึงที่อายุห่างกัน 7 ปี
ความรู้สึกตอนที่เจอแม่ผมเฉยๆ เพราะตอนที่อยู่กับย่าทวดผมเองก็ไม่ได้รู้สึกขาดท่านเติมเต็มผม พอท่านเสียผมก็มีเป๋บ้าง แต่ก็ต้องเดินต่อ แต่พอมาเจอแม่ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ไม่ติดค้างอะไรในวัยเด็ก เพราะเราอยากรู้ว่าเขาคือใคร แต่ทุกวันนี้เราก็คุยกันตลอด มีโอกาสก็ไปหาท่านบ้าง”
ได้ทำหน้าที่พี่ชายดูแลน้องสาว?
“ครับ น้องมาอยู่กรุงเทพฯ อยู่กับบ้านญาติ ผมก็ช่วยดูแลน้องตามกำลังของตัวเอง ช่วยบ้างแต่ไม่ได้เยอะขนาดนั้น เพราะผมเองก็เพิ่งเริ่มต้นทำงานตรงนี้ แต่ผมมีความตั้งใจอยากดูแลน้อง คือตอนที่ผมเจอแม่ผมเฉยๆอย่างที่บอกไป น้องนี่เราแทบไม่สนิทกันเลย แค่รู้ว่านี่น้องนะ แล้วพอช่วงที่ผมกลับไปบ้านที่อุบล ผมรู้สึกว่าน้องให้ผมทางความรู้สึกมาเยอะ น้องบอกผมว่าเขาสงสารผม (เสียงสั่น) ผมจำได้เลยว่ามีครั้งนึงผมกำลังจะกลับมากรุงเทพฯ น้องก็ไปส่งที่สนามบินแล้วก็เดินมาแล้วจับแขนผม แล้วเขาก็ร้องไห้แล้วบอกว่าถ้าไม่ไหวกลับบ้านนะพี่ น้องเป็นคนที่ไม่มีกำแพงกับผมก่อน
พอกลับมากรุงเทพฯ ผมก็คิดถึงคำพูดของน้อง คือน้องรักผมมากๆ ผมเลยเข้าหาน้อง คุยกับน้องตลอด ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น มีพาไปเที่ยว ไปซื้อหนังสือ นัดเจอกันบ้าง ถามไถ่กันตลอด ผมก็เป็นห่วงเขา น้องผมน่ารัก (ยิ้ม) ถามว่าหวงไหม ก็หวงครับ น้องอายุ 17 เอง แต่ก็ไม่ได้บังคับอะไรเขานะ ก็แล้วแต่เขาจะตัดสินใจ ผมดีใจที่มีน้องสาว ยอมรับว่าช่วงแรกๆผมก็เคอะเขิน ทำตัวไม่ถูก แต่พีคกว่านั้น น้องเองก็ยังไม่เคยเจอพ่อเลย เพราะตอนที่แม่เลิกกับพ่อ แม่ท้องอยู่แต่ก็ไม่ได้บอกใคร คุณพ่อเองก็เพิ่งมารู้พร้อมๆกับผม ก็เซอร์ไพรส์ในเซอร์ไพรส์เลย แต่ผมเองก็ยังไม่มีโอกาสพาน้องไปเจอพ่อเลย
ผมไม่เคยคิดว่าชีวิตผมแปลกไปจากคนอื่น มันจะมีแค่บางอารมณ์ที่อิจฉาคนอื่นที่มี แต่ผมก็ไม่ได้เอาไปเป็นปมหลักที่จะทำเรื่องที่มันไม่ดี ผมโชคดีที่แม้ผมจะเจอสังคมที่หลากหลายแต่ก็ได้เจอกับคนดีๆ”
มุมมองความรักของ “ก้อง”?
“การดูและซัพพอร์ตกัน ผมชอบเป็นฝ่ายเทคแคร์มากกว่า ชอบคนขี้อ้อน น่ารักดี (ยิ้ม)”
ตอนนี้สเตตัสหัวใจเป็นยังไง?
“ก็มีคนคุยครับ”
ความเป็นหนุ่มฮอตของเราเขาว่ายังไงบ้าง?
“ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ เขาเข้าใจ ไว้ใจ ผมก็ไม่ได้นอกลู่นอกทางอะไร คือในมุมความรักของ “เจ้าชายชัยทัศน์” เป็นยังไงผมก็เป็นแบบนั้นครับ (หัวเราะ) คุยแค่คนเดียว ผมเป็นคนชัดเจนครับ”
เป้าหมายอนาคต?
“ผมก็ไม่รู้ว่าการอยู่ตรงนี้ผมจะประสบความสำเร็จแบบไหน แต่ผมอยากให้งานแสดงของผม เข้าไปถึงตัวละครให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ผมรับทุกโอกาส ก็ฝากทุกคนติดตามผลงานผมด้วยนะครับ และขอบคุณทุกๆแรงสนับสนุนที่ส่งมาให้นะครับ”
เผยภาพเตรียมพิธีไว้อาลัย “แตงโม” ด้าน “กระติ๊บ ชวัลกร” ขอทำหน้าที่เป็นพิธีกรให้ดีที่สุด
“เบิร์ด” ปฏิเสธเงินแสน ไม่อยากได้อะไร จากการเสียชีวิตของ “แตงโม”