ศาลอนุญาต“พิ้งกี้ สาวิกา” ปลดกำไล EM เพื่อสะดวกรับงานแสดง
เปิดภาพแรก “พิ้งกี้ สาวิกา” หลังศาลให้ประกันตัว คดี Forex-3D
หลังจากที่นางเอกสาวชื่อดัง “พิ้งกี้ – สาวิกา ไชยเดช” ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวและศาลอนุมัตให้ปลดกำไล EM เพื่อสะดวกต่อการรับงานระหว่างพิจารณาคดี Forex-3D
ล่าสุดวันนี้ (2 ก.พ.66) “พิ้งกี้” ได้ปรากฏตัวออกสื่อครั้งแรก ในพิธีบวงสรวงภาพยนตร์ที่รับบทนำ เรื่อง “กุมาร” ที่สวนลุมไนท์บาร์ซา และเจ้าตัวพร้อมด้วยทนายความส่วนตัว “ปิ๊ก - ทรงพล อันนานนท์” และ “หน่อย - ณฐพร สิริภัคชรัสมิ์” ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนว่า
“พิ้งกี้ สาวิกา” ออกงานครั้งแรก หลังศาลปล่อยตัวชั่วคราวและปลดกำไล EM
วันนี้เป็นยังไงบ้าง?
พิ้งกี้ : “ไม่ตื่นเต้นมากค่ะ เรียกได้ว่าปรับตัวมาสักระยะนึงแล้วค่ะ ก็ชินอยู่”
บรรยากาศยังเหมือนเดิมไหม?
พิ้งกี้ : “เหมือนเดิมค่ะ (ยิ้ม) ทุกคน (สื่อมวลชน) ยังเหมือนเดิม น่ารักค่ะ”
ไฟในการทำงาน?
คุณหน่อย : “จริงๆ น้องเป็นคนมีไฟมาก ตอนก้าวเท้าเข้าบ้านอยากทำงานแล้ว เป็นคนที่อยากทำงานตลอดเวลา เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นค่ะ”
สภาพจิตใจตอนนี้เต็มร้อยไหม?
พิ้งกี้ : “ตอนนี้เหรอคะ เขาเรียกว่าไปปฏิบัติธรรมมา มุมมองของพี่หน่อยคิดว่าเราไปปฏิบัติธรรม กี้ไม่ได้คิดว่าปฏิบัติธรรมเพราะตัวกี้เองก็คือตัวกี้เองแหละ เรียกว่าเป็นวัฏสงสารไปเรียนรู้ชีวิต แล้วก็ได้ไปพบเจออะไรบางอย่างในประสบการณ์สุดโต่งค่ะ คิดว่าแบบนั้น”
สิ่งที่เราไปเจอ เราได้เรียนรู้อะไรจากตรงนั้นบ้าง?
พิ้งกี้ : “เดี๋ยวเล่ายาวเลย มีโอกาสจะเล่าให้ฟังค่ะ”
หลังจากนี้กี้วางแผนในการใช้ชีวิตหรือการทำงานยังไงบ้าง?
พิ้งกี้ : “จริงๆ วันนี้ถือว่าเป็นการรวม เราไม่ได้ออกสื่อเลยนานมากแล้วนะคะ ตั้งแต่เราถ่ายละครยังไม่ได้มีการมานัดเจอสื่อแล้วได้มาพูดคุยกันตั้งแต่เกิดเรื่อง ก็นานมากแล้ว ถือว่าวันนี้ก็พูดทีเดียวเลยแล้วกัน พูดให้หมด”
มีความกังวลใจอะไรไหมกลับมาทำงาน?
พิ้งกี้ : “ไม่ค่ะ ไม่ได้กดดัน เพราะว่าเราก็คือคนทำงานแหละ แล้วก็ตราบใดที่เราศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็น กี้เชื่อว่าความจริงมันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องบอกว่าเราคือคนที่เป็นอย่างนี้ค่ะ ทำงานมาตลอด จะพูดว่าเราไม่ใช่คนที่เบียดเบียนใครเพราะฉะนั้นบางทีชะตากรรมมันก็พัดพาสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในชีวิตเราใช่ปะ แต่ว่ามันอยู่มุมมองของการตั้งรับว่าเราจะตั้งรับและมองมัน แล้วก็หาเหลี่ยมของมันว่าเราจะมองมันยังไงให้เป็น ซึ่งวันนี้ก็ถือว่าชีวิตเราก็เหมือนละครเรื่องหนึ่ง”
เราตั้งรับกันมันได้ขนาดไหน?
พิ้งกี้ : “ตั้งรับยังไง เหมือนทุกคนแหละเจอปัญหาแล้วเราก็ไม่คิดว่าชะตามันจะตกแต่งสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นให้กับเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจริงๆ แล้ว พี่ปิ๊กก็คือคนที่เป็นทนายให้เรา เพราะว่าจริงๆ แล้วตามกฎหมายแล้วพี่ปิ๊กจะพูดได้มากที่สุดค่ะ”
ช่วงที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง?
คุณหน่อย : “เข้าป่าแต่ไมได้ไปไกลค่ะ ไปนครนายก จริงๆ เขาฝึกสมาธิอยู่กับตัวเองในแต่ละวันที่เขาอยู่ เราเจอเขาบ้างตั้งแต่เขากลับบ้านมา จริงๆ เขาแทบไม่ได้คุยกับใครเลย คนที่เขาคุยด้วยทุกวันคือทนายค่ะ กับเราเขายังแทบไม่คุยเลย เราจะคุยกับเขาได้ก็คือผ่านน้องจี้ คุยเรื่องบท มีเจอกันบ้าง ก็ไปหาเขา ถามว่าทำอะไร เขาก็บอกว่านั่งสมาธิ ละหมาดของทางศาลนาเขาด้วย”
ใช้ธรรมชาติบำบัด?
“จริงๆ ก็อย่างที่ทุกคนทราบอยู่แล้วค่ะว่าเราเจอปัญหาอะไรหนักๆ เราต้องศรัทธาตัวเองก่อน แล้วก็รักตัวเองให้มากที่สุด กี้ว่าความจริงมันเป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว กฎหมายเราก็สู้ตามกระบวนการตามที่เป็น กฎหมายว่ายังไงเราก็สู้ตามนั้น ฝากชีวิตไว้ที่พี่ปิ๊ก เขาคอยดูแลและทั้งหมดต้องบอกว่าเขาคือทนายที่ให้ความช่วยเหลือได้ดีมากๆ”
กังวลใจในกระบวนการที่มันยังจะต้องต่อไปยังไงไหม?
“ก็คือพาร์ทถูกกล่าวหา เราก็ถูกกล่าวหาแล้วเราก็สู้ตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อเราได้ถูกกล่าวหาเราก็ต้องสู้และเราก็รอว่าความจริงกับสิ่งที่เป็นความยุติธรรม เราเชื่อว่ามันจะรอเราอยู่ปลายอุโมงค์ เราคิดว่ามันรออยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนไม่ต้องแพนิค ไม่ต้องตกใจ วันนึงมันจะพิสูจน์เองค่ะ”
ความสบายใจ ความมั่นใจในคดีเรายังเต็มร้อย?
พิ้งกี้ : “มั่นใจค่ะ แล้วก็เชื่อในความเป็นตัวเองของตัวเอง และศรัทธาในตัวเอง”
“พิ้งกี้” บอกว่าฝากชีวิตไว้ที่ทนาย?
ทนาย : “จริงๆ มันก็คงเป็นเรื่องของคดีอาญา เป็นเรื่องของเสรีภาพอยู่แล้ว ที่เขามาฝากชีวิตก็คงหมายความว่าเป็นเรื่องของเสีรภาพครับ ซึ่งก็เป็นเรื่องกระบวนการในชั้นศาล ศาลเองได้มีนัดสืบพยานเอาไว้แล้วครับ ที่เหลือก็คือรอขั้นตอนกระบวนการพิสูจน์ใดๆ ทางศาลครับ คดีจะเริ่มพิจารณาปลายเดือนสิงหาคมปีนี้(2566) ศาลชั้นต้นนะครับ แล้วก็จะจบเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า (2567) หลังจากนั้นอีกสัก 2-3 เดือน ก็คงจะมีคำพิพากษาออกมา ส่วนจะมีอุทธรณ์ฎีกาหรือเปล่าเดี๋ยวก็คงต้องดูกันอีกทีครับ ในระหว่างนี้พิ้งกี้สามารถทำงานได้ตามปกติครับ
ในส่วนของคุณแม่ (แม่อ้อย) ก็ทางเราเองก็พยายามรวบรวมหลักฐานข้อมูลเพื่อที่จะเสนอต่อศาล เพื่อขอให้ปล่อยชั่วคราว ท่านก็ไม่ได้เครียดอะไรหรอกครับ เพียงแต่ว่าเหมือนคนทั่วไปถ้าไปอยู่ในสภาพอย่างนั้น มันไม่ใช่สภาวะปกติก็คงมีบ้าง แต่ในเรื่องของความเครียดก็คงจะไม่เท่าไหร่”
พิ้งกี้ : “กำลังใจดีมากๆ ค่ะ ก็ส่งพลังให้แม่ไปค่ะ เพราะว่าด้วยตัวเราก็ต้องเดินหน้าทำงานต่อ เพราะคุณแม่ก็เซนซิทีฟ และโมเมนต์ของคนแก่กับเรา เราก็เป็นนักสู้มากกว่า สู้ก็ต้องสู่ต่อไปนะคะ (กำลังใจส่งให้เราเยอะ?) ขอบคุณค่ะ (ยิ้ม) กี้มาตรงนี้มันเสพอะไรเยอะไม่ได้ โมเมนต์คือไม่สามรถตามโซเชียลได้เลย เพราะมันเหมือนเขาไปถึงไหนกันแล้ว ก็เลยอาจจะดีเลนิดนึงถ้าเกิดพูดช้าหรือดีเลย์นิดนึงก็ขอบอกไว้ด้วยว่าช้ากว่าเดิม”
มันหนักขนาดไหนกับสิ่งที่เราเผชิญอยู่?
พิ้งกี้ : “กี้ว่าจริงๆมีคนที่เขาประสบความรู้สึกคล้ายๆ เรา ที่เขาไม่ได้ออกมาเล่าให้ฟังอะนะคะ น่าจะเยอะ น่าจะมีอีกหลายร้อยเรื่องที่มีชีวิตแบบนี้ แล้วก็ออกมาพูดไม่ได้หรือเล่าไม่ได้ แต่ว่าก็อยากให้มองว่าชีวิตเราก็คือนักสู้คนนึง อยากให้ดูละครตอนจบว่าละครตอนจบเป็นยังไง”
ให้กำลังใจตัวเองยังไงบ้าง?
พิ้งกี้ : “ก็ช้าๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ มุมมองของเราแล้วกัน มุมมองของเราแหละที่จะเป็นตัวช่วยเราให้เราตั้งรับกับเนื่องต่างๆ ได้”
มีคนให้กำลังใจแต่อีกมุมนึงก็มีคนวิจารณ์ เราตั้งรับยังไง?
พิ้งกี้ : “ห้ามไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นธรรมชาติ ธรรมดา ไปห้ามให้เขาผายลมไม่ได้ มันเหมือนเราห้ามให้คนเลอไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เขาระบายออกมา เคารพในมุมมองของแต่ละคน นี่แหละค่ะเป็นธรรมชาติๆ”
จะกลับมารับงานในวงการเต็มที่แล้วใช่ไหม มีงานติดต่อมาเยอะหรือยัง?
พิ้งกี้ : “จริงๆ คนนี้ (พี่หน่อย) เขาไม่ใช่ผู้จัดการนะ แต่เขาจะคุยกับน้องที่ดูแลมากกว่าเราอีก เพราะฉะนั้นเขาจะรู้”
คุณหน่อย : “จริงๆ ก็มีเยอะค่ะ แต่ต้องปรึกษาคุณปิ๊กก่อนว่างานไหนเรารับได้มากน้อยขนาดไหน จริงๆ น้องยังอยู่ในความดูแลอยู่ค่ะ ตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 15 งานแล้วค่ะ”
พิ้งกี้ : “หมายถึงงานเดินสายไปตามแต่ละจังหวัดค่ะ ไปไหว้ญาติ ไหว้ผู้ใหญ่ ส่วนงานที่เป็นผลงานเลยตอนนี้มีภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นเรื่องหลักค่ะ แล้วกี้บอกกับพี่หน่อย บอกกับมาดามว่า ตอนนี้ในหัวเรา เราอยากมาช่วยเบื้องหลังเขา และเรารู้สึกว่าเรื่อง กุมาร อาจจะเป็นหนังที่อาจจะได้ไปอยู่เบื้องหลังด้วย และได้อยู่เบื้องหน้าด้วยค่ะ”
ก่อนหน้านี้ด้านธุรกิจก็กำลังสนุกสนาน จะมีโอกาสกลับมาทำอีกไหม?
พิ้งกี้ : “ไลฟ์สดเหรอ ก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปค่ะ ลูกค้าหรือแม้กระทั่งพรีเซนเตอร์ที่เขารัก เขาก็ยังเอ็นดูเราอยู่ ก็ขอบคุณมากๆ นะคะ ยังเหนียวแน่นและยังเป็นพรีเซนเตอร์อยู่ค่ะ ก็ขอบคุณมากๆ เลย”
ตัวคดียังไม่สิ้นสุด มีผลต่อการรับงานยังไงบ้าง?
ทนาย : “จริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีข้อจำกัดในการรับงานอะไร แต่อย่างที่พิ้งกี้บอก เราก็คุยกันเป็นระยะ อาจจะเพื่อความมั่นใจ ความสบายใจ ก็ปรึกษามา แต่ถามว่าเป็นอุปสรรคไหม แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร เพราะศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาหรือตัดสิน ถ้าตามหลักกฎหมายสากลคือยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว ส่วนในเรื่องที่จะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ก็เป็นเรื่องกระบวนการในศาล เป็นเรื่องหลักฐานกันต่อไปครับ”
ในคดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก?
ทนาย : “จริงๆ คงมีผู้เสียหาย และส่วนของคุณพิ้งกี้เองก็เป็นผู้ต้องหาและเป็นจำเลยที่ถูกฟ้อง แต่ทีนี้ก็อยากจะให้รอดูข้อเท็จจริง คือตรงนี้ถ้าเราจะพูดไปก่อนมันก็คงจะไม่เหมาะ หรือคงจะไปสะเทือนในเรื่องของการพิจารณาคดีของศาล ก็อยากให้ใช้วิจารณญาณในการรับฟัง หรือพิจารณาดูนิดนึงว่ามีความเกี่ยวข้องแค่ไหน ยังไง”
ถามถึงเรื่องบ้านที่ก่อนหน้านี้มีการประกาศขายไปแล้ว ตอนนี้เราอยู่ยังไง?
พิ้งกี้ : “ขายไปนานมากแล้วค่ะ หลายข่าวเลยเนอะ (ยิ้ม) อะ ขอเคลียร์เลย คุณแม่ เรื่องการพนัน คุณแม่ไม่ได้เล่น ไม่มีการเล่นการพนันใดๆ บ้านก็คือขายไปนานมากแล้ว และบ้านนั้นก็คือบ้านที่เราซื้อให้คุณพ่อคุณแม่ ขายไปนานมาก จำระยะเวลาของไทม์ไลน์ไม่ได้ อยู่กับปัจจุบันค่ะ”
ทนาย : “ล่าสุด 2-3 วันมานี้มีข่าวเรื่องของการถอดกำไล EM ก็อย่างที่บอกว่าบางทีข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อน ก็ขอความกรุณาศาล เพราะเราติดเรื่องของการจะมาถ่ายทำภาพยนตร์ เพราะฉะนั้นการถอดจริงๆ แล้ว ขอศาลถอดชั่วคราว แต่ว่าข้อมูลทางสื่อบางท่านอาจจะได้ไปคลาดเคลื่อนหรือไม่ครบถ้วน เดี๋ยวพอเสร็จแล้วก็ใส่เหมือนปกติ ระยะเวลาก็คือขอศาลไว้จนกว่าเสร็จสิ้นภารกิจครับ เพราะว่าโดยลักษณะของตามบทหรืออะไรต่างๆ มันไม่สามารถให้รากฎตัวกำไลได้”
คุณหน่อย : “ก็จนกว่าจะถ่ายทำเสร็จค่ะ น่าจะประมาณเกือบ 6 เดือน”
กรณีแบบนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะ “พิ้งกี้”? คนอื่นก็มีสิทธิ์?
ทนาย : “คือตรงนี้อยู่ที่เหตุผลความจำเป็นของแต่ละกรณี แล้วก็สุดท้ายอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล”