“เจมส์ – ชินจัง – แซม” ดาวดวงใหม่กับเส้นทางแห่งฝัน เอื้อมถึงวันเป็นสตาร์


โดย PPTV Online

เผยแพร่




สัมภาษณ์พิเศษ! 3 หนุ่มจากเวทีเดอะสตาร์ 2022 ผู้ที่ไม่เคยทิ้งฝัน ไม่เคยทิ้งโอกาส กล้าลองผิด ลองถูก เพื่อไปถึงจุดหมายปลายทางที่กำลังเปล่งประกายบนถนนสายมายา

นักแสดงนำ “หลงเงา” ชวนลุ้นความเข้มข้น “อินดี้” เล่าฉากกับพ่อ “บี๋ ธีรพงศ์” ขีดเส้นใต้! ยากสุดในชีวิต

“ฉันมีความฝันและฉันต้องทำให้ได้ จะขอเป็นดาวที่ยิ่งใหญ่ จะเปล่งประกายงดงาม” ท่อนแรกของเพลงที่สื่อความหมายได้ตรงตัวกับคนมีฝัน

“เจมส์ เดอะสตาร์ 2022” เคลียร์ดราม่ารางวัลแชมป์ ลั่นเป้าหมายอยากเป็นศิลปิน โอกาสตีมูลค่าไม่ได้

“เจมส์ - เจตพล กนิษฐชาต (แชมป์เดอะสตาร์ 2022) , ชินจัง - ญาณาธิป ใจจุล (รองแชมป์ฯ) และ แซม - ซามูเอล ดับประดิษฐ์ อาคูเบีย” (อันดับที่3)

สามหนุ่มที่หอบเอาความสามารถของตัวเอง มาสู่จุดเริ่มต้นของการเป็นสตาร์ในวงการบันเทิง แม้ตลอดระยะเวลาของเส้นทางจะ ‘ล้ม’ แต่พวกเขาก็ ‘ลุก’ ขึ้นยืน เพื่อทำความฝันให้หลายเป็นความจริง!!   

วันนี้ “พีพีทีวี” จะพาไปคุยกับทั้ง 3 หนุ่มแบบเอ็กซ์คูลซีฟ เริ่มจาก “เจมส์ - เจตพล กนิษฐชาต” แชมป์คนล่าสุดของเวทีสร้างดาว ความพยายาม 10 ปี ไม่สูญเปล่าอีกต่อไป!

“วันนี้ฝันที่เราตามหามันประสบความสำเร็จสเต็ปนึงแล้ว (ยิ้ม) เหมือนก้าวผ่านกำแพงมาสเต็ปนึงแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ว่าโอกาสในอนาคตมากกว่าว่าจะเป็นยังไงจะเติมเต็มชีวิตเราไปในด้านไหน ถามว่าทำไมผมถึงกลับมาบ้านหลังนี้ “เดอะสตาร์” อีกครั้ง ผมว่าน่าจะเป็นที่ช่วงเวลาด้วย เพราะที่ผ่านมาตลอด 10 ปี ผมไม่ได้รอคอยอย่างเดียว พยายามพัฒนาตัวเองและไปในทุกที่ที่มีโอกาส และการที่กลับมาที่นี่อย่างภาคภูมิใจเพราะมันเป็นเดอะสตาร์ไง เราโตมากับที่นี่ ชอบมากๆ พอรายการกลับมาอีกครั้งนึงเลยไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะตัดสินใจที่จะกลับมาอีก แล้วลึกๆ ผมยังมีความฝันตลอดเวลา

ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา มันต้องคิดก่อนว่า ‘ความฝัน’ กับ ‘ความจริง’ มันไม่เหมือนกัน บางทีเราฝันเราทำไม่ได้ก็ต้องไปอยู่กับความจริงว่าต้องทำงานทุกวัน ผมร้องกลางคืน 6 วันต่อ 1 อาทิตย์ เป็นรูทีนไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็มีความสุขเอ็นจอยกับผู้คน แต่ชีวิตกราฟมันนิ่งตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา แล้วกลายเป็นว่าเราแค่ไปทำงานร้องเสร็จเพื่อให้ได้เงินแล้วกลับบ้าน ต้องบอกว่าความฝันแทบจะพับเก็บไปแล้ว เพราะความจริงมันเป็นอีกแบบยังไงก็ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง

สิ่งที่ทำให้ผมเปิดกล่องความฝันอีกครั้งนึง มันเป็นการลองดูมากกว่า ต้องยอมรับว่าตอนแรกก็กล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าตัดสินใจ อย่างเมื่อ 10 ปีที่แล้วตัดสินใจเลย ด้วยความเป็นเด็ก ความฝันวิ่งเข้าเต็มที่แต่ไม่มีภูมิต้านทาน ล้มแล้วก็เจ็บหนัก ก็รู้สึกว่าเราพอดีไหมเหมือนมันแพ้มาตลอดและอายุที่เพิ่มขึ้นก็มีส่วน แต่ตัวผมฝันอยากเป็นศิลปิน อยากเป็นคนที่สร้างงานจริงๆ เป็นตัวเองจริงๆ แต่ก็เคยรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ใช่สำหรับเราหรือเปล่า ก็เลยพับเก็บตรงนั้นไป แล้วก็มองดูทางอื่น เรียนต่อบ้าง หาอะไรที่เป็นช้อยส์อื่นในการเล่นดนตรี

ถามว่าผมเคยหนีไปสุดแค่ไหน ก็อยากเลิกเลยนะ อยากไปเรียนต่อเลย ไม่ร้องเพลงแล้ว ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปีที่แล้ว คือไม่ต้องฝันแล้วเปลี่ยนเส้นทางไปเลย ไปเรียนต่อเป็นมิวสิกนี่แหละแต่เป็นมิวสิกโปรดักชั่นมากขึ้น ทำช้อยส์อื่นสายงานอื่นมากขึ้น สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ตามฝันแล้ว ก็คือเพราะเวลามันหลายปี ยิ่งเพิ่มขึ้นมันก็บั่นทอนมากขึ้น กัดกินเรามากขึ้น แล้วก็มีโควิดเข้ามาอีก งานจ้างมันก็น้อยลงเราต้องไปทำงานที่ไม่ต้องทำเบื้องหน้าเยอะขึ้น บวกกับอายุเริ่มมากขึ้น เริ่มมองความมั่นคงมากขึ้น มองชีวิตในอนาคตเยอะขึ้น ต้องคิดเผื่ออนาคตแล้วว่าจะมามุ่งมั่นกับความฝัน มาแข่งขันกับความฝัน แต่ไม่ได้คิดถึงชีวิตจริงว่ามันลำบากแค่ไหน ผมว่ามันเป็นแบบนี้มากกว่า

สิ่งที่ทำให้ผมอยู่บนความจริงมากกว่าความฝันได้ เพราะมันคือเรื่องจริงที่ต้องเจอ ต้องทำงานต้องหาเลี้ยงครอบครัว หาเลี้ยงตัวเอง ผมว่ามันแอบเสี่ยงนะกับการที่ทำตามความฝันโต้งๆ และที่กลับมาประกวด “เดอะสตาร์” ก็คิดว่าสุดท้ายแล้วแหละ ด้วยอายุด้วย ถ้าพูดถึงวงการประกวดก็ไม่ใช่น้อย เหมือนเราเริ่มช้ำแล้ว คนจำได้ มาเดอะสตาร์นี่คนยังทักเลยว่ามาจากนู่น นี่ ถามว่าผมชินกับความผิดหวังไหม อย่าเรียกว่า ‘ชิน’ เรียกว่า ‘ท้อ’ ดีกว่า วันที่ผมได้แชมป์เดอะสตาร์ ก็เลยร้องไห้ตอนประกาศผล น้ำตา 10 ปี คือทุกอย่างมันเอ่อล้นมากๆ

ถ้าไม่มาวันนั้น ถ้าทำไม่เต็มที่มันจะเป็นยังไง แล้วเรื่องราว 10 ปี  มันก็ย้อนมาหมด มันเข้ามาในหัวตลอดน้ำตามันเลยไหลออกมาแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย รู้สึกว่าสำเร็จแล้ว โล่งที่เราทำลายกำแพงตัวเองได้แล้วส่วนนึง ที่เหลือคือสิ่งที่เราเจอในอนาคต มันดีใจมากขนาดที่พูดไม่ออก ภูมิใจ คือเวทีนี้มันขลังมากสำหรับผม เป็นสิ่งที่คิดถึงตลอด อินมาก เลยตื้นตันใจ”

หนุ่มคนนี้...หอบความฝันมาจากไกล “ชินจัง - ญาณาธิป ใจจุล” รองแชมป์เดอะสตาร์ 2022 วัย 19 ปี ที่แม้จะ ‘ไม่มีโอกาสได้ลองผิด ลองถูก’ มากนัก แต่เด็กหนุ่มหน้ามนต์คนลำปาง ก็พร้อมตะครุบโอกาสทันทีเมื่อมี ‘โอกาส’ และเขาก็ได้โชค 2 ชั้นจากการกล้าลองเสี่ยงครั้งนี้!!

“ผมนั่งรถทัวร์มาจากลำปาง ไม่เคยเข้ากรุงเทพฯ แบบจริงจัง ก่อนหน้านี้เคยมาเข้าค่าย แต่ด้วยความโชคดีที่ได้เจอพี่ที่มาจากภาคเหนือและมาสมัครเหมือนกันและพักโรงแรมเดียวกัน เขาก็สอนในหลายๆ เรื่อง สอนขึ้นแท็กซี่ และด้วยความที่เป็นคนสบายๆ ปล่อยตัวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเจออะไร รู้สึกว่าเรารับมือได้ เพราะยังไม่เคยเจออะไรที่ยังรับมือไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้ลองเราก็ไม่รู้ มันจะกลัวอะไร

การที่จะเดินทางมาสมัคร ปล่อยเนื้อ ปล่อยตัว ปล่อยใจ กับการที่จะได้มารับประสบการณ์ใหม่ ซึ่งก่อนที่จะมาประกวด คือด้วยครอบครัวของผมเอง มันไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ลองผิดลองถูก แบบในเวทีประกวดแบบนี้ คนอื่นเขาอาจจะได้ไปหลายๆ เวที แต่ผมไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ไปแบบนั้น เพราะแค่เดินทางมามันก็ต้องใช้เงินแล้ว เลยไม่ได้มีโอกาสลองผิดลองถูกบ่อยๆ เพราะที่บ้านผมไม่ได้มีฐานะที่จะใช้เงินมาประกวดแข่งขันใดๆ เพราะแต่ละประกวดมันก็ต้องค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง และถ้ามารอบเดียวไปไม่สุด เงินตรงนั้นจะเสียเปล่า

แต่ครั้งนี้ผมเก็บเงินมาประกวดเอง เลยทำให้เราไม่ได้คิดอะไรเลย มันเป็นเงินที่เราหามาได้เอง จากร้องเพลงตามงาน เก็บเงินไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ต้องรบกวนครอบครัว ซึ่งเราก็ไม่เคยถามตัวเองนะ ว่าทำไมเราต้องมาทำงานตั้งแต่เด็ก เพราะอย่างที่บอกว่าเราเป็นคนสบายๆ และผมก็ไมได้รู้สึกว่าครอบครัวไม่ดี อะไรก็ได้ และผมสามารถทำงานตรงนี้ได้ ก็ทำ และมันก็ไม่ได้เป็นผลเสียอะไรกับผมเลย

วันที่บอกครอบครัวว่าจะไปสมัคร ‘เดอะสตาร์’ ตอนแรกไม่ได้บอกพ่อ มีความที่ไม่กล้าจะบอกว่าเรามาทำอะไรที่กรุงเทพฯ แค่บอกเขาว่าไปประกวดร้องเพลงนะ เป็นนักร้องของโรงเรียนเขาจะพาไปประกวด แต่พ่อไม่ได้สงสัยอะไร แต่บอกแม่เพราะเขาจะโทรถามตลอด อีกอย่างผมก็ตามฝันด้วยตัวเองด้วย (ยิ้ม) ที่เลือกมาเดอะสตาร์ ผมเองไม่ได้รู้จักรายการประกวดแนวนี้สักเท่าไร เดอะสตาร์คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ บวกกับพร้อมพอดี จึงตัดสินใจมา ตอนแรกก็คิดว่ามาหาประสบการณ์

พอมาถึงวันที่เราขึ้นเวทีร้องจริงๆ มีสิ่งนึงที่กังวลคือเรื่องหน้าตา รวมไปถึงเรื่องเสียงที่ร้องออกไป ผมเป็นคนที่ชอบถ่ายตัวเองร้องเพลง แต่พอมาดูจากคลิปแล้วก็ดูหน้าตัวเอง ก็เกิดความสงสัยว่าหน้าเรามันแปลกๆ ดูตัวเองในกล้องเหมือนมีคำนึงว่า ไม่ขึ้นกล้อง แต่เวลาดูกระจก ก็คิดว่าตัวเองก็หล่อเหมือนกัน (ยิ้ม) เดอะสตาร์มันต้องออกกล้อง ผมเลยไม่มั่นใจเวลาที่ต้องเงยหน้ามองคนอื่น มันไม่ได้มีปมว่าไม่หล่อ ผมคิดว่าตัวเองหล่อ แต่พอออกกล้องแล้วมันดูไม่หล่อ มันดูไม่ขึ้นกล้อง (หัวเราะ)  จริงๆ แล้ว ตอนอยู่ลำปางผมไม่เคยถ่ายรูปเลย ในไอจีหรือว่าในเฟซบุ๊กไม่มีรูปเลยสักรูป ผมไม่มั่นใจในการถ่ายรูปตัวเอง ส่วนมากจะถ่ายแค่ตัว ถ่ายแค่เส้นผม แบบติสท์ (หัวเราะ)

ผมเป็นคนชอบอ่านคอมเมนต์ไม่ว่าจะบวกหรือลบ อย่างแฟนๆ มาโหวตให้ผม รักผม ผมรู้สึกอย่างแรกเลยว่าเราไม่ใช่ลูกเขา ไม่ใช่ญาติเขา ไม่ใช่คนรู้จักเขาด้วยซ้ำ แต่เขามอบสิ่งนี้ให้ผมตั้งแต่แรก มันเป็นสิ่งที่ดีมากๆ มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ผมไม่รู้ว่าเขารักผมเพราะอะไร ผมไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ รู้สึกใจฟูตลอดเวลาที่เห็นคอมเมนต์พวกนี้หรือเห็นเขาหน้าเวทีก็ตาม ไม่เคยคิดว่าจะได้รับความรักแบบนี้ เริ่มรับมือกับสิ่งที่เขามอบมาให้เรา เราก็จะตอบแทนคือนกลับไปให้เขา ทุกอย่างที่เราทำได้ จากนี้ไปผมสามารถลองผิดลองถูกในชีวิตได้แล้ว พูดง่ายๆ ว่าสามารถหาเงินเองได้แล้ว มีโอกาสใหม่ๆ เข้ามา สามารถตัดสินใจเองได้

และการที่ผมได้มาประกวดเดอะสตาร์ ทำให้ได้เห็นภาพที่ผมไม่นึกว่าจะได้เห็นกับภาพของพ่อแม่อยู่ด้วยกัน ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ในเฟรมเดียว อยู่ในสายตาที่มองไป แค่ตอนที่เขาเดินผ่านกัน ผมยังไม่เคยเห็นเลย เป็นครั้งแรกที่เห็นเขานั่งข้างกันครั้งแรก รู้สึกดีใจแบบแปลกๆ เพราะไม่รู้ว่าจะมีภาพนี้เกิดขึ้น แต่ในหัวก็คิดอยู่แล้วว่าเขากลับบ้านไป เขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี มันก็แค่ดีใจที่ได้เห็นภาพนั้นอีกครั้งนึง ผมไม่เคยคิดว่าภาพนี้จะเกิดขึ้น

ภาพวันนั้นผมรู้สึกดีๆ มาก มันเป็นความฝันที่เริ่มจากฝันว่าอยากเป็นศิลปิน ก็เป็นจริง ความฝันถัดมาพ่อแม่อยู่ด้วยกัน ก็เกิดขึ้นอีก แต่หลังจากภาพนั้นเกิดขึ้นก็ยังไมได้ถามพ่อแม่ และเขาก็เพิ่งได้ยินว่าผมพูดออกสื่อ เขาได้ยิน เขาก็ร้องไห้ เขาก็ขอโทษในเรื่องที่ผ่านมา ขอโทษที่เขาไม่รู้ความรู้สึกเรา เขาก็บอกรักผม มันเป็นความฝันที่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ผมตัดสินใจมาประกวดเดอะสตาร์ มันมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเยอะมาก ไม่คิดว่าสิ่งต่างจะเข้ามาขนาดนี้ มันเกิดคาดที่คิดไว้ เป็นโชค 2 ชั้นเลย หลังจากนี้ไป ผมก็จะตั้งใจทำโอกาสที่ผมได้รับบนเส้นทางนี้ให้มากที่สุดครับ ผมขอบคุณทุกการสนับสนุน ทุกความรัก ผมจะตั้งใจทำผลงานทุกๆ อย่างที่ได้ทำให้ออกมาดีที่สุดครับ (ยิ้ม)”

เมื่อถึงจุดที่ “ต้องเลือก” เขาก็พร้อมเลือก “แซม - ซามูเอล ดับประดิษฐ์ อาคูเบีย” หรือตอนนี้มีนามสกุล “เดอะสตาร์” การันตีคุณภาพ ความสามารถ ที่จะก้าวกระโดดสู้เส้นทางการเป็นการนักร้อง จุดเปลี่ยนในวัย 26 ปี คุ้มค่ากว่าที่เขาคิด

“ตอนนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตในช่วงวัย 26 เลยครับ ผมยอมรับว่าก็รู้สึกว่าตอนแรกก็เคว้งๆ เหมือนกัน เพราะลาออกจากงานประจำและมาใช้ชีวิตหลังจากได้เป็นเป็น 3 คนสุดท้ายของ ‘เดอะสตาร์ 2022’ ตอนแรกออกจากบ้านเดอะสตาร์ก็ยังงงๆ กับตัวเองอยู่ว่าเอายังไงต่อดี เพราะออกมาก็ต้องใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีงานประจำ

ในวันที่ต้องตัดสินใจว่าไม่ทำงานประจำแล้ว เพราะผมอยากเป็นศิลปินตั้งแต่เด็ก ผมไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกไหม ที่จะทำให้ผมเข้าใกล้คำว่าศิลปินไปมากกว่านี้ รายการเดอะสตาร์เป็นรายการที่ผมเห็นตั้งแต่เด็ก ผมเห็นรุ่นพี่หลายๆ คน ประสบความสำเร็จจากรายการนี้เยอะมาก ผมไม่ลังเลเลยที่จะออกจากงานประจำแล้วก็มาลุยกับตรงนี้ แต่ว่าการที่ผมออกจากงานประจำมาก็ต้องวางแผนพอสมควรเหมือนกัน เพราะว่าผมต้องดูแลแม่ด้วย แล้วก็เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ หนี้สิน ใช้เครดิตสุดท้ายกู้เงินมาทำร้านผัดไทยให้คุณแม่ เพื่อให้ช่วงที่ผมอยู่ในบ้านเดอะสตาร์ คุณแม่จะได้มีรายรับเข้ามา เจือจุนการกินการใช้ต่างๆ

ก็เหมือนเสี่ยงพอสมควร เพราะผมไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกไหม ผมรู้สึกว่าผมเอาใจนำไปแล้ว มันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างใช้อารมณ์นิดนึง แต่ผมก็วางแผนไว้ระดับนึง เพื่อรองรับความเสี่ยง กับคุณแม่เองก็ไม่ได้ห้ามอะไร เขาผลักดันเต็มที่ ขอให้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำ เขาเชื่อในตัวผมมากว่าผมทำงาน ผมไปได้ในเส้นทางนี้ ผมก็เลยต้องทำให้สุด เราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เราเดิมพันสูงมากในรอบนี้ เปลี่ยนชีวิตเราได้เลยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ผมแค่ว่าเข้ามาแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด

การเข้ามาตรงนี้ผมมุ่งหวัง แต่ผมไม่ได้คาดหวัง ผมรู้สึกว่าแต่ละวีคผมต้องทำโชว์ให้ได้ดีที่สุดในแบบของผม ต้องพัฒนาตัวเอง เพราะการเข้ามาอยู่ในเดอะสตาร์ ต้องเรียนรู้ไปด้วย ทำโชว์ไปด้วย ผมต้องพัฒนาในทุกวีคเลยรู้สึกว่าเรื่องโหวตหรือการที่จะได้เป็นแชมป์มันหลายปัจจัยมาก แต่สิ่งที่ผมกำหนดได้คือตัวผมเองว่าต้องเต็มที่กับโอกาสตรงนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนอยากได้แชมป์ด้วย แต่เราก็ต้องเต็มที่ในตัวเอง เราไม่สามารถที่จะว่าอยสกได้แชมป์ๆ แต่ไม่พัฒนาตัวเองเลย ผมเลยเอาเวลาทั้งหมดมาอยู่กับโชว์ อยู่กับการที่จะมอบความมุขให้กับทุกคน ทำเพลงให้ดี ทำโชว์ให้ดี ปัจจัยอย่างอื่นมันจะตามมาเอง

ช่วงประกวดแรกๆ ก็แอบกังวลเหมือนกัน แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วผมก็กลับมาตอบตัวเองว่า สิ่งที่ทำแล้วมีความสุขมันก็ต้องเกิดจากตัวเราก่อน เราไม่สามารถให้คนอื่นมาชอบเราได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรก มันไม่สามารถเป็นไปได้อยู่แล้ว เราไม่สามารถบังคับใครให้มาชอบเราได้ แต่เมื่อมีโอกาสโชว์ให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เราทำทุกคนแฮปปี้นะ อยากมอบความสุขให้กับทุกคนจริงๆ หลังจากนั้นก็มีคนให้กำลังใจผมมาเรื่อยๆ จากการโหวตให้ เป็นกำลังใจให้ คอมเมนต์ดีๆ ผมรู้สึกดีใจมาก (ยิ้ม) บอกตรงๆ ว่าคะแนนกลางสัปดาห์ผมถ้าใครดูผมอยู่รั้งท้ายตลอดเลย มีแค่วีคเดียวที่ผมมาอยู่อันดับ 2 ตอนแรกใจห็หวิวเหมือนกัน แต่อย่างที่บอกไปว่าผมตั้งใจกับโชว์จริงๆ อยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าผมตั้งใจ อยากให้เห็นศักยภาพของผมว่าทำอะไรได้บ้างในแต่ละวีค ไม่อยากทำให้ทุกคนผิดหวัง

ผมรู้อยู่แล้วว่ามารายการยังไงอาจจะไม่ได้เงิน ไม่ได้อะไร สิ่งหนึ่งที่ผมอยากได้คือ ‘โอกาส’ ซึ่งผมก็มีโอกาสได้มาเป็น 8 คนสุดท้าย ผมได้โอกาสที่เดอะสตาร์ให้ ผมว่าเราเกิดจากความสุขข้างในที่ชอบทำสิ่งนี้อย่างมากกว่า เป็นแพชชั่นของเรามากกว่า ผมอยากเป็นศิลปินจริงๆ อยากทำงานอยู่ตรงนี้จริงๆ เรื่องอื่นหรือว่างาน ผมรู้สึกว่าผมอาจจะไปหาอีกสายนึง อาจจะไปทำร้านอาหารก็ได้ที่อยากได้เงินจริงๆ ก็เป็นอีกเวย์นึง

แต่เป้าหมายของผมอยากเป็นศิลปินที่เป็นศิลปินจริงๆ เป้าหมายของผมที่อยากทำจริงๆ เคยพูดไว้อยู่รอบนึงคืออยากทำเพลงให้ติดบิลบอร์ด มันเป็นอีกอย่างที่ผมอยากปลดล็อก เป็นศิลปินที่คนรู้จักทั่วโลก ได้แสดงศักยภาพว่าเพลงไทยก็สามารถขึ้นไปอยู่บิลบอร์ดได้เหมือนกัน โชว์ความเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของบ้านเราได้ มันไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่ได้ รุ่นน้อง รุ่นต่อๆ ไป ประเทศได้ด้วย ได้เท่าๆ กัน ผมรู้สึกว่าการเป็นศิลปินไม่ได้เต้นกินรำกินอย่างเดียว เราสามารถที่จะทำวงการบันเทิง ทำศิลปะตรงนี้เชิดชูให้เป็นประเทศเราได้

กับเรื่องงานจริงๆ ผมก็มีแผนสองนะ ก็อาจจะไปทำงานส่วนอื่น อาจจะต้องรันร้านผัดไทยของแม่ต่อเพราะลงทุนไปแล้ว ทำร้านกับแม่ให้ขยายไปเรื่อยๆ แต่อาจจะค่อยๆ ทีละนิดๆ ให้มันรายได้เพิ่มขึ้น จริงๆ แซวมมองไปถึงว่าอยากขยายแฟนไชน์ด้วย อยากให้มันโตจริงๆ เพื่อที่ว่าถ้าวันนึงแซมไม่ได้ทำตรงนี้แล้ว ยังมีร้านผัดไทยที่เป็นอีกอาชีพนึงให้อยู่รอดไปได้ต่อไป

ก็เป็นอีกสายนึงไปเลยแต่จริงๆ อยากไปควบคู่กัน มีธุรกิจส่วนตัวด้วย รู้สึกว่าอยากทำธุรกิจตั้งแต่เด็กๆ ที่ชลบุรีมีตลาดนึงที่คล้ายๆ โรงเกลือ แต่เขาจะรับจากโรงเกลือมาอยู่ตลาดตรงนี้ ตอนมัธยมผมก็จะไปคัดเสื้อผ้ามือสองมาขายเพื่อน ช่วงมหาลัยก็รับแปลเอกสารบ้าง สุดท้ายแล้วผมรู้สึกว่าผมก็ชอบทำธุรกิจด้วย จริงๆ อยากมีอะไรเป็นของตัวเองด้วยในช่วงที่ทำงานวงการบันเทิงควบคู่กันไป”

 

 

 

 

 

TOP ข่าวบันเทิง
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ