ผู้เชี่ยวชาญ แนะ สหรัฐฯ ใช้วัคซีนโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์
1 ใน 4 ของประชากรโลกต้องรอวัคซีนโควิด-19 ไปจนถึง 2022
ในวันสุดท้ายของปี 2020 เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ชาวอิสราเอลต่างทยอยเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่เมืองเทล อาวีฟ เมืองศูนย์กลางธุรกิจของอิสราเอล อิสราเอลเลือกใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์เป็นเจ้าแรก โดยตั้งแต่อิสราเอลเริ่มฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อิสราเอลสามารถฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงได้ถึง 150,000 คนต่อวันได้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ขณะนี้อิสราเอลฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงได้หนึ่งล้านคนแล้ว
ซึ่งคนกลุ่มเสี่ยงที่อิสราเอลจัดให้เป็นกลุ่มที่จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรกมีทั้งหมด 2 ล้านคน จึงเท่ากับกว่าอิสราเอลสามารถฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงได้แล้วร้อยละ 50
อิสราเอลฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงไปได้แล้วกว่าหนึ่งล้านคน เท่ากับว่าอิสราเอลสามารถฉีดให้ประชาชนไปได้แล้วมากกว่าร้อยละ 10 ถือเป็นอัตราที่เร็วที่สุดในโลก เร็วกว่าสหราชอาณาจักร ประเทศแรกของโลกที่อนุมัติวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์
นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนธันยาฮูของอิสราเอลเคยประกาศไว้ว่า อิสราเอลจะเป็นประเทศแรกของโลกที่ฟื้นตัวและผงาดขึ้นมาได้ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด แต่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้อย่างรวดเร็วก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะทำให้อิสราเอลฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศอื่น โดยเขาถือเป็นคนแรกของอิสราเอลที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมาเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่และประชาชน และอิสราเอลสามารถทำได้จริง
ในประชากรจำนวน 100 คน อิสราเอลฉีดวัคซีนไปแล้ว 11.55 โดส ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่มากที่สุดในโลกตอนนี้ และนำโด่งประเทศอื่นๆ อยู่
อย่างบาห์เรนที่ 3.5 โดส สหราชอาณาจักร 1.5 สหรัฐอเมริกา 1 เดนมาร์ก 0.5 และจีน 0.3 โดส ซึ่งสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาเป็น 2 ประเทศแรกๆ ของโลกที่อนุมัติให้ใช้วัคซีน แต่มาถึงตอนนี้ 2 ประเทศนี้ฉีดวัคซีนได้ในอัตราที่ช้ากว่าอิสราเอลมาก
สหรัฐอเมริกาประกาศว่าจะฉีดวัคซีนให้ประชาชน 20 ล้านคนภายในสิ้นปี 2020 แต่ความเป็นจริงคือสหรัฐฯ ฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปได้เพียง 2.7 ล้านคนเท่านั้น
อิสราเอลทำได้อย่างไร?
ข้อแรกคือ อิสราเอลมีข้อได้เปรียบทางธรรมชาติคือ อิสราเอลเป็นประเทศขนาดเล็ก และมีประชากรน้อยกว่าหลายๆ ประเทศ อิสราเอลมีประชากรเพียง 9 ล้านคน แต่แน่นอนว่าข้อได้เปรียบเหล่านี้ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด
2. ข้อสองคือ อิสราเอลเป็นประเทศที่ระบบสาธารณสุขถูกทำให้เป็นระบบดิจิทัลล่วงหน้าประเทศอื่นนานแล้ว ทุกคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไปจะต้องลงทะเบียนกับประกันภัยของรัฐ จึงทำให้รัฐจัดระบบคิวและตามตัวประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
3. ข้อสามคือ อิสราเอลใช้มาตรการกระตุ้นให้คนมาฉีดวัคซีนด้วยการออกเอกสารที่เรียกว่า Green passport ให้กับประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งจะเป็นเอกสารที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าไปทานอาหารในร้านอาหาร และเดินทางได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องกักตัว แต่ข้อนี้ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายว่า ไม่เหมาะสมนัก เพราะยังไม่มีหลักฐานที่ชี้ว่าวัคซีนช่วยลดการแพร่เชื้อด้วย
4. ข้อสี่คือ รัฐบาลอิสราเอลออกแคมเปญเชิงรุกต่อต้านข้อมูลผิดๆ และข่าวลวงเกี่ยวกับวัคซีน โดยกระทรวงยุติธรรมของอิสราเอลได้ออกคำสั่งให้เฟซบุ๊คลบกลุ่มต่อต้านวัคซีนออกไปจากเฟซบุ๊ค ซึ่งกลุ่มต่อต้านวัคซีนถือเป็นความท้าทายของทุกประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ยังเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีน เช่นวัคซีนจะเข้าไปตัดแต่งพันธุกรรม DNA หรือเป็นการล้วงข้อมูลของรัฐผ่านการเก็บข้อมูล DNA ของประชาชน
อย่างไรก็ตามชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนที่อาศัยอยู่เขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซ่าไม่ถูกนับรวมในโครงการฉีดวัคซีนของอิสราเอล ทำให้รัฐบาลอิสราเอลถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ละเมิดหลักมนุษยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ
ทำให้ตอนนี้ชาวปาเลสไตน์ต้องหวังพึ่งวัคซีนจากโครงการแจกจ่ายวัคซีน COVAX ขององค์การอนามัยโลก ที่คาดว่าชาวปาเลสไตน์น่าจะเริ่มได้รับวัคซีนในกลางปีนี้
ขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมของอิสราเอลอยู่ที่มากกว่า 440,000 คน เสียชีวิตกว่า 3,400 คน