ชิ้นส่วนจรวดจีน “ลองมาร์ช 5บี” ตกในมหาสมุทรอินเดีย หลังไร้การควบคุม
สกอตแลนด์ ประกาศจัดโหวตแยกตัวจากสหราชอาณาจักร - นายกฯอังกฤษ ลั่นไม่ยอม
เหยื่อโจมตีทางไซเบอร์ คือ บริษัท โคโลเนียล ไปป์ไลน์ (Colonial Pipeline) ผู้ให้บริการท่อส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ความยาว 8,850 กิโลเมตร ซึ่งขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งเบนซินและดีเซลจากโรงกลั่นในรัฐเท็กซัส ไปยังฝั่งตะวันออกของประเทศ วันละกว่า 2 ล้าน 5 แสนบาร์เรล หรือคิดเป็น 45%
เครือข่ายท่อส่งน้ำมันดังกล่าวถูกปิดลงตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังถูกโจมตีโดยแรนซัมแวร์ (Ransomware) หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ซึ่งขณะนี้ ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไข และสืบสวนหาผู้อยู่เบื้องหลัง
สถานการณ์ติดขัดที่เกิดขึ้นสร้างความกังวลต่อปริมาณและราคาน้ำมันในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ทำให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ตัดสินใจประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อเปิดทางให้ขนส่งน้ำมันทางถนน โดยใช้รถบรรทุก ในอย่างน้อย 18 รัฐ
ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดเชื้อเพลิงคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น 2-3% ในวันจันทร์นี้ และหากยังไม่สามารถแก้ไขจนกลับมาให้บริการตามปกติอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในวันอังคาร จะยิ่งส่งผลกระทบแบบโดมิโนเป็นวงกว้าง
ล่าสุด มีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือน มิ.ย. ปรับพุ่งขึ้นแล้ว 1% ในการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
เหตุการณ์นี้นับเป็นการเรียกค่าไถ่ทางไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และเผยให้เห็นช่องโหว่ของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน จนเกิดกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลหามาตรการป้องกัน