ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?นั่นก็เพราะว่าไวรัสเดลตามีความสามารถในการแพร่ระบาดได้มากกว่าโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมหลายเท่าตัว สามารถก่อให้เกิดอาการติดเชื้อรุนแรง และมีประสิทธิภาพในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันของร่างกาย
อาชิช จา (Ashish Jha) คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบราวน์ในสหรัฐอเมริกาเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ตอนนี้ไวรัสเดลตาคือไวรัสกลายพันธุ์ที่แพร่ระบาดได้เร็วที่สุด
WHO ประกาศโควิดกลายพันธุ์อินเดีย น่ากังวลระดับโลก
“อนามัยโลก” ประกาศทุกคนจะได้วัคซีนป้องกันโควิด-19 วอนอย่าตื่นตระหนก
สอดคล้องกับงานวิจัยล่าสุดของหน่วยงานสาธารณสุขอังกฤษที่ชี้ว่า ไวรัสเดลตาแพร่ระบาดได้เร็วกว่าไวรัสอัลฟา หรือ B.1.1.7 ที่พบแห่งแรกในสหราชอาณาจักร ถึงร้อยละ 60
ตอนนี้หลายประเทศพบว่า ไวรัสเดลตาได้กลายเป็นไวรัสหลักที่แพร่ระบาดในประเทศแทนที่ไวรัสอัลฟาแล้ว
สหราชอาณาจักรคือประเทศที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสเดลตามากที่สุดในโลกหรือกว่า 42,300 ราย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรเปิดเผยว่า ร้อยละ 91 ของผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศคือผู้ติดเชื้อไวรัสเดลตา
อนามัยโลก ยัน ไม่พบโควิดสายพันธุ์ผสมในเวียดนาม
ส่วนที่สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 6 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่คือผู้ติดเชื้อไวรัสเดลตา
ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สก็อตต์ กอตเลียบ อดีตผู้อำนวยการองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA ออกมาเตือนว่า ไวรัสเดลตาอาจกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในสหรัฐฯ
โดยพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์มากที่สุดคือพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแสดความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสเดลตาในประเทศที่กำลังพัฒนามากที่สุด เพราะประเทศเหล่านี้มีระบบเฝ้าระวังและควบคุมไวรัสที่ไม่ดีมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศยุโรป
และตอนนี้ไวรัสเดลตาอาจแพร่ระบาดในประเทศที่กำลังพัฒนามากกว่าที่ทางการรายงานแล้ว
นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญยังกังวลเกี่ยวกับอาการที่เกิดจากติดเชื้อไวรัสเดลตาที่ต่างจากการติดโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม
รายงานล่าสุดระบุว่า อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในหมู่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาคือ ปวดศีรษะ เจ็บคอ และน้ำมูกไหล
ผู้เชี่ยวชาญชี้โควิด-19 กลายพันธุ์จากแอฟริกาใต้อาจดื้อยา
ทิม สเปคเตอร์ ศาสตราจารย์ระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ผู้นำโครงการศึกษาที่ชื่อว่า Zoe Covid Symptom เปิดเผยว่า การติดเชื้อไวรัสเดลตาอาจทำให้คนหนุ่มสาวมีอาการป่วยเหมือนไข้หวัดรุนแรง
ซึ่งอาการเหล่านี้แตกต่างจากอาการของผู้ป่วยโควิด-19 ที่พบได้ทั่วไปก่อนหน้านี้ ที่มักมีอาการไอ มีไข้สูง และสูญเสียการรับรู้กลิ่นและรสชาติ
ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่า อาการที่ต่างออกไปอาจทำให้ผู้ติดเชื้อเข้าใจผิดว่าตัวเองไม่ติดเชื้อหรือเข้าใจว่าป่วยเป็นไข้หวัดตามฤดูกาล และไม่ยอมไม่ตรวจหาเชื้อ ซึ่งจะทำให้ไวรัสระบาดมากขึ้น
เมื่อวานนี้เดอะแลนซิต (The Lancet) วารสารทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลกได้เผยแพร่งานวิจัยชิ้นล่าสุดของสกอตแลนด์ที่ชี้ว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไวรัสเดลตา เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนครบสองโดส
โดยวัคซีนไฟเซอร์สามารถป้องกันไวรัสเดลตาได้ร้อยละ 79 น้อยกว่าประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันไวรัสอัลฟา ที่มีอยู่ร้อยละ 92
ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสเดลตาร้อยละ 60 น้อยกว่าประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีต่อไวรัสอัลฟา ที่มีอยู่ร้อยละ 73
อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของวัคซีนทั้งสองตัวในการป้องกันไวรัสเดลตาถือว่าสูงกว่าเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดว่า วัคซีนต้องมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสอย่างน้อยร้อยละ 50
ตอนนี้ทั่วโลกต่างพากันเรียกชื่อโควิด-19 กลายพันธุ์ด้วยชื่อใหม่ หลังจากเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้เปลี่ยนชื่อไวรัสกลายพันธุ์ตามชุดตัวอักษรกรีก เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การตีตราประเทศที่ตรวจพบไวรัสเป็นแห่งแรก
โดยได้ใช้ตัวอักษรกรีกเรียกไวรัสกลายพันธุ์ทั้งสองกลุ่ม นั่นก็คือ ไวรัสสายพันธุ์ที่น่ากังวล (Variant of Concern) และไวรัสสายพันธุ์ที่น่าจับตามอง (Variant of Interest)
ไวรัสกลายพันธุ์ที่น่ากังวล ตอนนี้มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่
1. สายพันธุ์สหราชอาณาจักร (B.1.1.7) ถูกเรียกว่า อัลฟา
2. สายพันธุ์แอฟริกาใต้ (B.1.351) ถูกเรียกว่า เบตา
3. สายพันธุ์บราซิล (P.1) ถูกเรียกว่า แกมมา
4. สายพันธุ์อินเดีย (B.1.617.2) เรียกว่า เดลตา
ส่วนไวรัสกลายพันธุ์ที่น่าจับตามองมี 6 สายพันธุ์ โดยถูกเรียกว่า เอปไซลอน เซตา เอตา เธตา ไอโอตา และ แคปปา