วันนี้มีผู้คนออกมาตามท้องถนนมากขึ้นถ้าเปรียบเทียบกับเมื่อวาน ถนนแทบทุกเส้นจะมีจุดตรวจหรือ Checkpoint โดยเฉพาะบริเวณ Green Zone วันนี้ก็ยังมีอยู่แต่ไม่มีเงาของทหารหรือตำรวจ คนที่ทำหน้าที่แทนคือ สมาชิกกลุ่มตาลีบันพร้อมอาวุธครบมือ ผู้สื่อข่าวหลายสำนักยังคงทำหน้าที่รายงานสภาพทั่วๆไปของเมืองได้ ไม่ปรากฏกว่ามีการห้ามหรือการขู่คุกคามจากกลุ่มตาลีบัน
จากข้อมูลของผู้สื่อข่าวรายนี้ระบุว่า สถานที่ราชการรวมถึงทำเนียบประธานาธิบดีมีกลุ่มตาลีบันประจำการอยู่เกือบทุกจุด
ตาลีบันประกาศชัยเหนือกองทัพ รบ.อัฟกานิสถาน
เที่ยวบินอพยพนักการทูต-พลเมืองจากสนามบินคาบูลทำการอีกครั้ง
ส่วนสภาพของเมืองแม้บางส่วนจะเริ่มใช้ชีวิตตามปกติ บางโรงเรียนเริ่มมาเปิดทำการเรียนการสอน แต่กลิ่นไอของความกังวลยังคงปกคลุมอยู่ เห็นได้จากร้านค้าและธุรกิจจำนวนมากยังคงปิดทำการ
ด้านฝั่งตาลีบันเองที่ออกมาคุมเมืองพร้อมอาวุธครบมือ มีเสียงยืนยันจากพวกเขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว AFP ว่า ตาลีบันต้องการให้ผู้คนออกมาใช้ชีวิตตามปกติ เป็นภาพที่ดูต่างจากเมื่อวานนี้ โดยเฉพาะบริเวณสนามบินนานาชาติฮามิดคาไซ เมื่อวานเกิดความวุ่นวาย โกลาหลเมื่อชาวอัฟกันจำนวนมากไปที่นั่นเพื่อหนีออกจากประเทศ
ภาพที่มีการรายการหรือแชร์ต่อมากที่สุดคือภาพนี้ เครื่องบิน C17 ของกองทัพสหรัฐที่ถูกส่งเข้ามาอพอพพลเมืองสหรัฐและคนอัฟกันที่เคยช่วยเหลือกองทัพสหรัฐกำลังจะ Take off จากสนามบิน ชาวอัฟกันจำนวนมากวิ่งกรูตาม ยื้อแย่งกันเกาะเครื่องบินด้วยความหวังว่า จะเป็นอีกคนที่ได้ไปกับเครื่องบินลำดังกล่าวเพื่อหนึจากกลุ่มตาลีบัน มีรายงานว่า บางคนใช้วิธีเกาะเครื่องบินลำนี้ไป ประจักษ์พยานคือ ภาพนี้ เป็นภาพที่โลกออนไลน์เผยแพร่อย่างกว้างขวาง เป็นภาพของเครื่องบิน C17 ลำดังกล่าวขณะอยู่บนฟ้าแล้ว ระหว่างนั้นมีร่างของมนุษย์ที่เกาะอยู่ร่วงลงมาอย่างน้อย 2 คน
ในเวลาต่อมา website ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมของสหรัฐเผยแพร่ภาพนี้ออกมาเป็นภาพด้านในของเครื่องบินลำดังกล่าว ปกติเครื่องบินแบบนี้ใช้ในการลำเลียง ถ้าเป็นผู้โดยสารจะจุได้เต็มที่ 150 คน แต่จากภาพจะเห็นว่าทั้งลำแน่นขนัดไปด้วยชาวอัฟกันทั้งชาย หญิง และเด็ก ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมีราวๆ 650 คน
ส่วนเหตุการณ์ด้านนอกสนามบินก็โกลาหลไม่แพ้กัน เมื่อคนจำนวนมากพยายามทุกทางที่ จะเข้าไปในบริเวณสนามบินให้ได้ ทำทุกทางเพื่อหนีตาย รวมถึงการพยายามปีนกำแพงที่สูงลิบลิ่วแบบนี้ การอพยพออกจากคาบูลเมื่อวานนี้จำนวนหนึ่งเป็นผู้หญิง อย่างเช่นภาพนี้ ที่มีคนพยายามดึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นไปบนแท่นกำแพงคอนกรีตเพื่อเข้าไปในสนามบินให้ได้ อีกจุดภายนอกสนามบินที่มีรายงานการเสียชีวิต มีร่างผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งกองอยู่ที่พื้น
ยังไม่ชัดเจนว่าคนที่เสียชีวิตเกิดจากการเหยียบกันหรือจากกระสุนปืน เพราะในช่วงความโกลาหลที่คนพยายามจะเข้าไปด้านในสนามบินมีเสียงปืนเกิดขึ้นเป็นระยะๆ บางส่วนระบุว่าเป็นเสียงปืนจากทหารสหรัฐที่คุ้มกันสนามบินอยู่ ยิงขึ้นฟ้าเพื่อห้ามปรามคน แต่ก็ปรากฎภาพนี้ในเวลาต่อมา คือ มีกองกำลังตาลีบันบางส่วนไปล้อมรอบอยู่สนามบิน และมีการใช้ปืนยิงใส่ฝูงชนด้วย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเมื่อวานทั้งหมด 7 คน รวมถึงคนที่ตกลงมาจากการเกาะเครื่องบินด้วย
ล่าสุดทางบริษัท Maxar Technologies เผยภาพถ่ายดาวเทียมของความวุ่นวายเมื่อวาน จากภาพจะเห็นคลื่นมวลชนปรากฏเป็นจุดๆ อยู่ที่รันเวย์และพื้นที่อื่นๆ ของสนามบิน
ส่วนในวันนี้เมื่อช่วงเช้าของวันอังคาร มีรายงานว่าเที่ยวบินที่ใช้อพยพทหารและบรรดาเจ้าหน้าที่สถานทูตได้กลับมาเปิดใช้งานอีกครั้ง หลักจากต้องหยุดไปหลายชั่วโมงจากความวุ่นวายของเหตุการณ์ยื้อแย่งเข้าสนามบินเมื่อวาน โดยรายงานจากเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น มีเครื่องบินทหารราว 12 ลำเดินทางขนคนออกจากกรุงคาบูลเพิ่ม ส่วนคนอัฟกันที่มารวมตัวในสนามบินนั้นมีจำนวนลดลงมาก ต่างกับเมื่อวันจันทร์
แม้จะยังไม่มีเหตุรุนแรงจากกลุ่มตาลีบันให้เห็นชัดเจนหลังจากที่ยึดกรุงคาบูลได้ แต่สำหรับชาวอัฟกันจำนวนมาก ขณะนี้พวกเขากำลังหวาดกลัวอย่างหนัก โดยเฉพาะบรรดาผู้หญิง เนื่องจากไม่มีใครรับประกันว่า ตาลีบันจะบังคับใช้กฎหมายอิสลามและแนวคิดเคร่งศาสนาแบบเข้มงวดอีกครั้ง หนึ่งในความกังวลมาจาก ฟาซานา โคไช สมาชิกรัฐสภาอัฟกานิสถาน
ในฐานะนักการเมืองหญิง เธอระบุว่า การผงาดขึ้นของตาลีบันอาจทำลายเสรีภาพในการแสดงออกของเธอ รวมไปถึงผู้หญิงอัฟกานิสถานทุกคนและตัวเธอคาดการณ์อนาคตไว้ว่า อาจมีฉากทัศน์เกิดขึ้นสองทาง หนึ่งคือตาลีบันยังยอมให้ผู้หญิงไปเรียนไปทำงานได้ ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง หรือสองคือ พาพวกเธอหวนกลับไปยังยุคสมัยที่ตาลีบันเคยปกครอง ซึ่งจะเป็นฝันร้ายอย่างที่สุด
แต่เธอเชื่อว่า ผู้หญิงอัฟกันจะลุกขึ้นต่อต้าน เพราะผู้หญิงอัฟกันในวันนี้ไม่เหมือนกับอดีตอีกแล้ว เมื่อคนรุ่นใหม่เข้าถึงการศึกษาและได้เห็นโลกกว้าง ประเด็นสิทธิมนุษยชน และการกดขี่ผู้หญิงคือหนึ่งในความกังวลที่นานาชาติมีต่อการผงาดขึ้นของตาลีบันเป็นไปได้แค่ไหนที่ตาลีบันจะหวนกลับไปสู่แนวทางการปกครองอันเข้มงวดแบบเดิม นักวิเคราะห์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ แม้ว่าผู้นำตาลีบันจะเคยลั่นวาจาไว้ว่าครั้งนี้พวกเขาเปิดกว้างต่อสิทธิเสรีภาพของผู้หญิง
หลังยึดเมืองหลวงของอัฟกานิสถานได้แล้ว ล่าสุดตาลีบันยังคทำให้ผู้คนประหลาดใจ เพราะพวกเขาประกาศนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองทั้งหมด รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐบาลทั้งหมดด้วย คือสื่อว่าจะไม่มีการแก้แค้น พร้อมระบุว่า รัฐบาลใหม่ที่ตาลีบันกำลังจัดตั้งขึ้นนี้เปิดกว้างให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม รวมถึงผู้หญิงด้วย
คำประกาศล่าสุดมาจาก เอ็นนามูลาห์ ซามันกานี สมาชิกคณะกรรมาธิการด้านวัฒนธรรมของตาลีบัน โดยยังไม่มีการให้รายละเอียดของรัฐบาลใหม่
อย่างไรก็ตาม การเปิดกว้างให้ผู้หญิงเป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่ตาลีบันเคยให้ไว้ระหว่างกระบวนการเจรจาสันติภาพร่วมกับสหรัฐฯ ที่ระบุว่า พวกเขาจะยังคงให้ผู้หญิงมีสิทธิและเสรีภาพต่อไป ภายใต้เงื่อนไขของอิสลาม
ประเด็นนี้ถูกยืนยันโดย ซิราจูดดิน ฮักกานี รองหัวหน้ากลุ่มตาลีบัน และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งหัวหน้า ฮักกานี เน็ตเวิร์ค หนึ่งในเครือข่ายย่อยของตาลีบัน
ฮักกานี ซึ่งถือว่ามีตำแหน่งสูงในกลุ่มตาลีบันเคยแสดงทัศนะผ่านบทความของนิตยสาร นิวยอร์กไทมส์ ที่เผยแพร่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 ในตอนนั้นเป็นช่วงที่กระบวนการสันติภาพกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา
เขาระบุว่า ตาลีบันจะหาหนทางในการสร้างอัฟกานิสถานขึ้นใหม่ ในฐานะรัฐอิสลามที่ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียม ผู้หญิงมีโอกาสเรียนหนังสือ มีโอกาสทำงาน และได้รับการคุ้มครอง
หลังการลงนามในข้อตกลงเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประเด็นสิทธิผู้หญิงถูกยืนยันอีกครั้งโดย ซูฮารี ซาห์ฮีน โฆษกของกลุ่มตาลีบัน ยืนยันว่าตาลีบันเคารพสิทธิของผู้หญิง พวกเธอสามารถไปทำงาน หรือไปเรียนหนังสือได้ ขอเพียงแค่คลุมฮิญาบไว้ โดยในเวลาที่โฆษกออกมากล่าว กลุ่มตาลีบันกำลังรุกคืบยึดเมืองต่างๆ ของอัฟกานิสถาน คำสัญญาดังกล่าวเชื่อถือได้แค่ไหน สำหรับชาวอัฟกันจำนวนหนึ่ง พวกเขาไม่เชื่อและพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ
ด้านนักวิเคราะห์มองว่ายังมีความเป็นไปได้ รายงานจาก อาลี ยาวา อดิลลี นักวิเคราะห์ชาวอัฟกานิสถานมองว่า ตาลีบันยังคงเปิดกว้างด้านสิทธิผู้หญิงในช่วงแรก เพราะยังต้องการการยอมรับและความชอบธรรมในการปกครองจากนานาชาติ