ชาวเมียนมาพร้อมใจกันปิดร้าน และอยู่แต่ภายในบ้าน ส่งผลให้ห้างร้านและบรรยากาศตามท้องถนนของหลายเมืองทั่วประเทศ เงียบสงัด สำหรับการประท้วงเงียบครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากศาลในกรุงเนปิดอว์ พิพากษาให้นางออง ซาน ซูจี เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ วัย 76 ปี และอดีตประธานาธิบดีวิน มยินต์ รับโทษจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ในความผิดฐานละเมิดกฎหมายภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการยุยงปลุกปั่นให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านกองทัพ
ศาลเมียนมา ตัดสินจำคุก “ซูจี” 4 ปี ก่อนพล.อ.มิน อ่องหล่าย อภัยโทษให้เหลือ 2 ปี
ชาวเมียนมา แห่ถอนเงินจากธนาคารของกองทัพ-บอยคอตต์ธุรกิจ
แม้ในเวลาต่อมา พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะลดหย่อนโทษให้กับทั้งคู่ ลงเหลือจำคุกเพียงคนละ 2 ปี ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม แต่ข้อกล่าวหาอีกหลายกระทงที่มีต่อนางซูจี รวมไปถึง การละเมิดข้อกฎหมายว่าด้วยความลับของทางราชการ การลักลอบนำเข้าและครอบครองวิทยุสื่อสาร ข้อกล่าวหาทุจริตการเลือกตั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้เธอต้องรับโทษจำคุกอีกเป็นเวลานานหลายปี เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนานาประเทศ
ขณะที่โครงการความรับผิดชอบเมียนมา (MAP) เรียกร้องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในกรุงเฮกของเนเธอร์แลนด์ เปิดการสอบสวนทางอาญา พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเมียนมา ด้วยข้อกล่าวหา ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากการที่กองทัพใช้ความรุนแรงในการกวาดล้างปราบปรามผู้ประท้วงและนักเคลื่อนไหวต่อต้านการทำรัฐประหาร
ขณะที่นายรูเพิร์ต คอลวิลล์ โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แถลงโจมตีรัฐบาลทหารเมียนมา หลังมีรายงานระบุว่า ทหารของกองทัพสังหารชาวบ้าน 11 คน และมีเด็กรวมอยู่ด้วย 5 คน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตสะกาย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ก่อนจุดไฟเผาร่างคนเหล่านี้ เพื่อตอบโต้ชาวบ้านที่ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่