เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วย่านใจกลางเมืองโดเนตสก์ ทางตะวันออกของยูเครน เมื่อวานนี้ (18 ก.พ. 65) หลังจากช่วง 20.00 น. เดนิส พูชิลิน ผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ ซึ่งสนับสุนรัสเซีย ได้สั่งให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวทำการอพยพไปยังรัสเซีย นายพูชิลินกล่าวว่า รัสเซียได้ตกลงที่จะให้ที่พักอาศัยแก่ประชาชนแล้ว โดยผู้ที่เป็นเด็ก สตรี และคนชราควรรีบอพยพก่อน
รัสเซีย ถอนกำลังทหารบางส่วน ออกจากพื้นที่ติดกับชายแดนยูเครน
“ไบเดน” เผยสหรัฐฯเตรียมแผนสกัดรัสเซีย รุกรานยูเครน
ขณะเดียวกันหลังการประกาศอพยพ ยังเกิดเหตุระเบิดรถจี๊ปที่จอดอยู่ด้านหน้าสำนักงานของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนดังกล่าว แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยในช่วงที่เกิดระเบิดไม่มีผู้ที่อยู่ในรถจี๊ปคันนี้
นอกจากนี้ สื่อรายงานว่าเกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในดอนบาส และกองกำลังยูเครนวานนี้ ท่ามกลางความกังวลที่ว่ารัสเซียอาจใช้สถานการณ์ดังกล่าวเพื่อเป็นข้ออ้างในการโจมตียูเครน
ในเวลาเดียวกัน สภาดูมา ซึ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย ได้ให้การอนุมัติก่อนหน้านี้ต่อร่างกฎหมายรับรองสถานะการเป็นรัฐอิสระของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์-ลูฮันสก์
ซึ่งหากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ลงนามร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ก็จะเป็นการสร้างความขัดแย้งครั้งใหม่ต่อวิกฤตการณ์ในยูเครน เนื่องจากการรับรองสถานะการเป็นรัฐอิสระของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์-ลูฮันสก์ จะถือเป็นการฉีกข้อตกลงมินสก์ ซึ่งมีเป้าหมายในการยุติสงครามแบ่งแยกดินแดนในดอนบาส ที่ทำให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนและกองกำลังยูเครนเสียชีวิตถึง 15,000 คน
ขณะที่ เมื่อวานนี้ ประธานาธิบดี ปูติน ได้ต้อนรับการมาเยือนของ ประธานาธิบดี อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ผู้นำเบลารุส ที่ประกาศจุดยืนสนับสนุนรัสเซียในวิกฤตยูเครน และพร้อมจะให้รัสเซียใช้เบลารุสเป็นที่ตั้งของกำลังพลรัสเซีย
โดยระหว่างการแถลงข่าว ปูติน ย้ำว่า การซ้อมรบที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนด้านที่ติดกับยูเครน เป็นไปเพื่อการป้องกันประเทศเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นภัยคุกคามต่อประเทศอื่นๆอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ปูติน ยัง ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยูเครน เจรจากับกลุ่มแบกแยกดินแดนทางภาคตะวันออก เพื่อยุติความขัดแย้งที่ทำให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาคดังกล่าวและปฏิบัติตามข้อตกลงมินนสก์
ขณะเดียวกัน ทีมโฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวว่า กองทัพรัสเซียเตรียมจัดการซ้อมรบครั้งใหญ่ ในวันนี้ (19 ก.พ. 65) โดยเป็นการฝึกซ้อมตามกำหนดการที่วางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อประเมินศักยภาพทางทหารในภาพรวม และความพร้อมของทุกเหล่าทัพ
กองกำลังที่จะเข้าร่วมการซ้อมรบครั้งนี้ ได้แก่ กองเรือทะเลดำ กองเรือเหนือ กองทัพฝ่ายใต้ และกองกำลังขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์
การซ้อมรบครั้งนี้จะมีการทดสอบขีปนาวุธหลายรูปแบบด้วย ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธแบบติดหัวรบนิวเคลียร์ โดย ประธานาธิบดี ปูติน จะเข้าร่วมสังเกตการณ์จากศูนย์สังเกตการณ์ ด้วย
นอกจากนี้ ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียยังแสดงความวิตกกังวล ที่สถานการณ์สู้รบในภูมิภาคดอนบาส ทางตะวันออกของยูเครน กลับมารุนแรงอีกครั้ง เมื่อกองกำลังแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ ซึ่งนิยมรัสเซีย กล่าวหากองทัพยูเครนยิงปืนใหญ่โจมตีต่อเนื่องเป็นวันที่สอง และกำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ขณะที่ นายโอเล็กซีย์ ดานิลอฟ (Oleksiy Danilov) เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงของยูเครน กล่าวหารัสเซีย ว่า พยายามสร้างความยั่วยุในพื้นที่ความขัดแย้งทางภาคตะวันออกของยูเครน เนื่องจากต้องการให้กองกำลังยูเครนตอบโต้ ซึ่งจะเข้าทางรัสเซียที่ข้ออ้างรุกรานยูเครน แต่ยืนยันว่า รัฐบาลยูเครนจะยังคงยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีเพื่อคลี่คลายวิกฤตความขัดแย้ง
ส่วนความเคลื่อนไหวของชาติตะวันตก เริ่มกันที่สหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้แถลงข่าวถึงสถานการณ์ความตึงเครียดในยุโรปขณะนี้ โดยแสดงความมั่นใจว่า ปูติน ได้ตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้วว่าจะส่งกำลังทหารบุกยูเครน และจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ หรืออีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดย ไบเดน ระบุว่า ขณะนี้ขณะนี้กำลังทหารรัสเซียได้ล้อมยูเครนไว้แล้ว และรัฐบาลสหรัฐเชื่อว่า กรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครนคือเป้าหมายการโจมตี นอกจากนี้ไบเดน ยังยืนยันว่าสหรัฐพร้อมจะปกป้องชาติพันธมิตรนาโต หากวิกฤตขายแดนยูเครนลุกลามกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ไบเดน ย้ำว่าขณะนี้ยังมีเวลาเหลือพอที่จะแก้ไขวิกฤตยูเครนด้วยวิธีทางการทูตยังมีความเป็นไปได้ แต่หากรัสเซียเลือกที่จะโจมตียูเครนก็จะเท่ากับเป็นการตัดโอกาสในการพูดคุย
ขณะที่นายไมเคิล คาร์เพนเตอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำองค์การความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (โอเอสซีอี) กล่าวว่า รัสเซียได้เพิ่มกำลังทหารแตะระดับ 190,000 นาย ในบริเวณชายแดนยูเครน โดย คาเพนเตอร์ ประเมินว่า ขณะนี้รัสเซียมีกำลังทหารราว 169,000-190,000 นายใกล้ชายแดนยูเครน เมื่อเทียบกับราว 100,000 นายเมื่อวันที่ 30 ม.ค. ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนกำลังทหารครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปของรัสเซียนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
สอดคล้องกับคำพูดของ นายกรัฐมนตรี โอลาฟ ชอลซ์ ผู้นำเยอรมนี ที่ยืนยันว่า การสะสมกำลังทหารของรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนขณะนี้มีจำนวนทหารมากพอที่จะสู้รบในสงครามเต็มรูปแบบแล้ว ชอลซ์ ย้ำว่าความขัดแย้งทางทหารเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะห่กสงครามเกิดขึ้นจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรง โดยเฉพาะประชาชนจำนวนมากที่จะได้รับผลกระทบ
ขณะที่ ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนระหว่างการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป โดยได้แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศยูเครน พร้อมเปิดเผยว่าได้รับรายงานผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากการปะทะกันทางตะวันออกของยูเครน นอกจากนี้ มาครง ยังระบุว่า จนถึงขณะนี้ไม่พบหลักฐานที่ยืนยันได้ว่ารัสเซียได้ลดกำลังทหารจริงตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้
ขณะที่ มาการ์ริติส สคินาส (Margaritis Schinas) รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ประเมินว่า หากรัสเซียเปิดฉากบุกยูเครนจริงก็จะมีผู้ลี้ภัยพยายามเดินทางเข้าสู่สหภาพยุโรปมากกว่า 1 ล้านคน
ด้าน นายอันโตนิโอ กุยเทอเรซ เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ กล่าวว่า ขณะนี้เป็นเวลาอันสมควรอย่างยิ่งที่จะลดระดับความตึงเครียดลงจากกองกำลังของรัสเซียที่รายล้อมยูเครนอยู่ ตนยังเชื่อว่า การบุกยูเครนจะไม่เกิดขึ้นแต่ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงก็จะทำให้เกิดความพินาศย่อยยับขึ้นได้