รัสเซียกลายเป็นชาติที่ถูกคว่ำบาตรมากที่สุด

Castellum.AI เว็บไซต์ติดตามการคว่ำบาตรซึ่งมีสำนักงานอยู่ในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ระบุว่าตั้งแต่ 22ก.พ. รัสเซียถูกดำเนินมาตรการคว่ำบาตรเพิ่ม 2,778 รายการ รวมเป็น 5,530รายการทำให้ขึ้นมาอยู่ในอันดับ1 แซงหน้าอิหร่านที่ถูกคว่ำบาตร 3,616 รายการในช่วงสิบปีที่ผ่านมาซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการนิวเคลียร์ และการสนับสนุนก่อการร้าย  

ก่อนวิกฤตยูเครน มาตรการคว่ำบาตรส่วนใหญ่ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้ต่อรัสเซีย มาจากการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อปี 2016 และการทำร้ายผู้เห็นต่างทางการเมืองในรัสเซียและต่างประเทศ     

ชาวรัสเซีย เริ่มเดือดร้อนจากมาตรการคว่ำบาตร

แผนอพยพประชาชนชะงัก หลัง "ยูเครน" อ้าง "รัสเซีย" ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

Castellum.AI ระบุว่า สหรัฐฯ และพันธมิตรประกาศมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อรัสเซียครั้งแรก หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ประกาศรับรองดินแดนที่กลุ่มกบฏยูเครนยึดครองคือ โดเนตสค์ และลูฮันสค์ ว่าเป็นรัฐอิสระ

และหลังจากที่รัสเซียประกาศปฏิบัติการทางทหารในยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. นานาชาติก็ประกาศมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มตามมาอีกนับร้อยรายการ  นับแต่นั้นมาแรงกดดันที่รัสเซียเผชิญจากนานาชาติก็เพิ่มขึ้นแทบจะรายวัน รายชื่อบริษัทต่างๆ ที่ถอนตัวหรือระงับกิจการในรัสเซียก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ     

ข้อมูลจาก Castellum.AI ระบุว่าด้วยว่าประเทศที่ดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียมากที่สุดตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.คือ สวิตเซอร์แลนด์ (568 รายการ) ตามด้วยสหภาพยุโรป (518) แคนาดา (454) ออสเตรเลีย (413) สหรัฐอเมริกา (243) สหราชอาณาจักร (35) และญี่ปุ่น (35)

โดยล่าสุด กระทรวงการคลังของญี่ปุ่นประกาศมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัสเซียและเบลารุส สืบเนื่องจากสถานการณ์ในยูเครน โดยอายัดทรัพย์สินชาวรัสเซีย 20 คน และชาวเบลารุส 12 คน โดยในส่วนของชาวรัสเซียนั้น รวมถึงรองเสนาธิการรัฐบาลประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน รองประธานสภา หัวหน้าสาธารณรัฐเชเชน และผู้บริหารบริษัทที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลรัสเซีย 

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังห้ามส่งออกอุปกรณ์กลั่นน้ำมันให้รัสเซีย รวมถึงห้ามส่งสินค้าทั่วไปที่กองทัพอาจนำไปใช้ได้ ให้กับเบลารุสด้วย