เป้าหมายต่อไปของรัสเซียคือ แคว้นโดเนตสก์ ซึ่งวันนี้มีรายงานการโจมตีอย่างหนักหน่วงเกิดขึ้นในหลายเมือง หรืออาจกล่าวได้ว่ายูเครนเสียเปรียบในแนวรบด้านตะวันออก
การเสียเปรียบในสงครามแนวรบด้านนี้ ทำให้ยูเครนต้องร้องขออาวุธที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากชาติตะวันตก
เมื่อวานนี้ ( 1มิ.ย.)สหรัฐฯ ตอบรับคำขอดังกล่าว โดยประกาศว่าจะส่งระบบยิงขีปนาวุธที่มีระยะไกลมากขึ้นให้ และวันนี้เยอรมนีก็ประกาศจะส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้ยูเครนเพิ่มเติม เพื่อรับมือกับรัสเซีย
รัสเซียกลายเป็นชาติที่ถูกคว่ำบาตรมากที่สุด
ยูเครนประกาศชัด ไม่มีวันยกดินแดนให้รัสเซีย
เริ่มต้นด้วยสถานการณ์ในภาคตะวันออกของยูเครนก่อน การต่อสู้ในภาคตะวันออกยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด มีรายงานการปะทะของทั้งสองฝ่ายในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาที่เมืองลีมาน ซีเวโรโดเนตสก์ และโปปาสนา
โดยเมืองซีเวโรโดเนตสก์และโปปาสนานั้นเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นลูฮันสก์ ซึ่งรัสเซียยึดได้เกือบสมบูรณ์แล้ว
เมืองที่น่าสนใจในตอนนี้คือ เมืองลีมาน เพราะเป็นเมืองของแคว้นโดเนตสก์ ซึ่งเป็นแคว้นที่รัสเซียต้องการยึดตามแผนปฏิบัติการพิเศษเฟส 2
นอกจากเมืองลีมานแล้ว รัสเซียได้โจมตีจุดอื่น ๆ ของแคว้นโดเนตสก์อย่างหนัก พื้นที่หลายแห่งตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีแบบไม่เลือกเป้าของรัสเซีย
หนึ่งในนั้นคือ โกดังเก็บเมล็ดทานตะวันในแคว้นโดเนตสก์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลผลิตทางการเกษตรที่ยูเครนส่งออก
โดยมีรายงานว่า กองทัพรัสเซียได้ระดมยิงโกดังเก็บเมล็ดทานตะวันแห่งนี้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ส่งผลทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ และเมล็ดทานตะวันที่ถูกเก็บไว้ในโกดังถูกไฟไหม้จนเสียหาย
ขยับลงมาทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นโดเนตสก์ มีรายงานว่ารัสเซียเริ่มโจมตีเขตใหม่ที่ชื่อว่า โซเลียดาร์ ในเมืองบัคมุต ซึ่งอยู่ห่างจากสนามรบที่กองทัพของสองฝ่ายเผชิญหน้ากันเพียง 10 กิโลเมตร
โดยรัสเซียได้โจมตีเมืองนี้ด้วยระเบิดลูกปราย ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายดังกล่าวเป็นหญิงชราที่ไปซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าในเมือง อย่างไรก็ดี ประชาชนในพื้นที่บอกว่าไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา
การโจมตีอย่างหนักหน่วงทางภาคตะวันออก และการที่ยูเครนเริ่มเสียเปรียบรัสเซียมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สหรัฐฯ บอกว่าจะส่งระบบยิงขีปนาวุธชนิดไฮมาร์ส (HIMARS) ไปให้ยูเครน
ไฮมาร์ส หรือ High Mobility Artillery Rocket System เป็นเครื่องยิงจรวดหลายหัวชนิดลำกล้องเบา ซึ่งมีระยะและความแม่นยำในการโจมตีสูง อาวุธตัวนี้ถูกพัฒนาโดยกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงปี 1970
ไฮมาร์สมีระยะพิสัยที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับชนิดของหัวรบที่บรรจุ โดยถ้าใช้ร่วมกับหัวจรวดชนิด ATACMS หรือ Army Tactical Missile System จะไปได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม ตัวที่สหรัฐจะส่งให้ยูเครนจะมีการจำกัดพิสัยให้อยู่ไม่เกิน 80 กิโลเมตรเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้ยิงเข้าไปในเขตแดนรัสเซีย
โดยเฉพาะที่เมืองเบลโกรอดของรัสเซีย ซึ่งถูกใช้เป็นฐานในการสนับสนุนการทำสงคราม ที่อยู่ห่างจากชายแดนยูเครนไปเพียง 45 กิโลเมตรเท่านั้น
คนที่ออกมายืนยันเรื่องนี้คือ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ
โดยเขาระบุว่า ยูเครนให้คำมั่นกับสหรัฐฯแล้วว่าจะไม่ใช้อาวุธไฮมาร์ส ที่สหรัฐฯ ส่งไปให้โจมตีข้ามพรมแดนไปยังแผ่นดินของรัสเซียแน่นอน
นอกจากสหรัฐฯ แล้ว เยอรมนีเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ออกมายืนยันว่าจะสนับสนุนอาวุธให้แก่ยูเครน
โดยเมื่อวานนี้ โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีได้แถลงต่อรัฐสภาว่า เยอรมนีจะส่งอาวุธเพื่อสนับสนุนยูเครนเพิ่มเติม
โดยเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์จะส่งปืนใหญ่ฮาวอิตเซอร์และอาวุธหนักอื่น ๆ ตลอดจนเรดาร์ติดตามขีปนาวุธของศัตรู ให้แก่ยูเครนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
นอกจากนี้ ผู้นำเยอรมนีได้ประกาศด้วยว่าจะส่งจรวดต่อต้านอากาศยานรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างไอริส-ที (IRIS-T) ให้กับยูเครน เพื่อป้องกันการโจมตีทางอากาศจากรัสเซียในเมืองใหญ่ ๆ เช่น กรุงเคียฟ เมืองคาร์คีฟ เป็นต้น
นอกเหนือจากการส่งอาวุธของสหรัฐฯ และเยอรมนีแล้ว อีกความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวเนื่องกับสงครามยูเครนคือ การที่เดนมาร์กเข้าร่วมนโยบายป้องกันประเทศของสหภาพยุโรป
เมื่อวานนี้ รัฐบาลเดนมาร์กเปิดให้ประชาชนลงมติเพื่อตัดสินใจว่า เดนมาร์กจะเข้าร่วมนโยบายป้องกันประเทศของสหภาพยุโรปหรือไม่ เนื่องจากในตอนนี้ เดนมาร์กเป็นประเทศเดียวในสหภาพยุโรปที่ยังไม่เข้าร่วมกับนโยบายดังกล่าว
โดยผลการลงประชามติพบว่า ชาวเดนมาร์กร้อยละ 67 สนับสนุนให้รัฐบาลเดนมาร์ก เข้าร่วมนโยบายป้องกันประเทศของสหภาพยุโรป
การโหวตครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลของสงครามในยูเครน
หลังจากที่มีการประกาศผลการลงประชามติ เมตต์ เฟรเดอริคเซ่น นายกรัฐมนตรีเดนมาร์กให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เธอดีใจมากกับผลประชามติดังกล่าว และจะรีบดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
เมื่อสองชาติใหญ่อย่างสหรัฐฯ และเยอรมนีตัดสินใจประกาศส่งอาวุธสมัยใหม่ให้แก่ยูเครน และเดนมาร์กประกาศเข้าร่วมนโยบายป้องกันประเทศของสหภาพยุโรป
แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้สร้างความไม่พอใจให้กับรัสเซียอย่างมาก จนทำให้ทางฝั่งรัสเซียออกมาตอบโต้ในทันที โดยคนแรกที่ออกมาตอบโต้กับท่าทีดังกล่าวคือ ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย
เปสคอฟกล่าวว่า การที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกส่งอาวุธที่ทันสมัยให้ยูเครนนั้นเป็นการราดน้ำมันลงในกองเพลิง และทำลายกระบวนการเจรจาสันติภาพ
นอกจากนี้ โฆษกรัฐบาลรัสเซียยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ ไม่ควรเชื่อคำมั่นของยูเครนที่กล่าวว่าจะไม่ยิงขีปนาวุธมายังแผ่นดินรัสเซีย
อีกคนหนึ่งที่ออกมาตอบโต้สหรัฐฯ และชาติยุโรปคือ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย
ลาฟรอฟแถลงขณะที่ไปประชุมที่เมืองริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยระบุว่า การที่ยูเครนร้องขออาวุธจากชาติตะวันตก และชาติตะวันตกยอมส่งอาวุธให้นั้น จะเป็นการลากชาติตะวันตกเข้ามาเป็นศัตรูกับรัสเซียด้วย
การที่รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียไปปรากฏตัวในการประชุมที่ประเทศในแถบตะวันตกออกกลางท่ามกลางสงครามและการคว่ำบาตรจากนานาชาติ มีนัยสำคัญอะไร และเหตุใดต้องไปที่ตะวันออกกลาง
เมื่อวานนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียได้เข้าพบ และหารือร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศในกลุ่ม GCG หรือ คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ซึ่งประกอบไปด้วย 6 ประเทศสมาชิก ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กาตาร์ และบาห์เรน ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอารเบีย
โดยการประชุมร่วมกับกลุ่มประเทศตะวันออกลางในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สหภาพยุโรปตกลงที่จะลดการนำเข้าน้ำมันดิบรัสเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ของสหภาพยุโรป
ตลอดเวลากว่า 3 เดือนของการรุกรานยูเครน กลุ่มประเทศตะวันออกกลางได้แสดงท่าทีเป็นกลางมาตลอด และไม่ร่วมขบวนคว่ำบาตรรัสเซีย แม้บางประเทศจะเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การเยือนของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย มีผลต่อการแสดงจุดยืนของประเทศอาหรับเหล่านี้ เพราะวันนี้ ทั้ง 6 ประเทศได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า จะไม่ร่วมกับสหรัฐฯ และชาติยุโรปคว่ำบาตรรัสเซียและเบลารุส4
ต้องติดตามต่อไปว่าการส่งอาวุธของสหรัฐฯ และเยอรมนีจะสามารถเปลี่ยนเกมในสมรภูมิด้านตะวันออกของยูเครนได้หรือไม่ ตรงนี้ยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือ รัสเซียแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และสัญญาณการเจรจาเพื่อทำสนธิสัญญาสงบศึก น่าจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้แน่นอน