ถึงแม้ไม่มีการระบุชื่อผู้ที่ใช้ความรุนแรง แต่ในขณะนั้นคาดเดาได้ไม่ยากนักว่า คนที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงคือ ดาราฮอลลีวูดชื่อดัง จอห์นนี่ เดปป์ อดีตสามีที่เพิ่งหย่าขาดจากกันแบบต้องขึ้นโรงขึ้นศาลก่อนหน้านั้น 1 ปี
เป็นช่วงที่กระแส Me Too กำลังร้อนแรง เรื่องนี้จึงกลายเป็นข่าวฉาวและสร้างความเสียหายให้กับจอห์นนี่ เดปป์
หลังบทความนี้ออกมา ชื่อเสียงของเดปป์ถูกทำลาย เขาถูกเรียกว่าเป็นคนตีเมีย ถูกถอดออกจากการแสดงหนังเกือบทุกเรื่อง
“จอห์นนี เด็ปป์” ชนะคดีหมิ่นประมาท พร้อมได้เงินชดเชย 15 ล้านดอลลาร์
รวมถึงหนังที่สร้างชื่อให้เขาอย่าง "Pirates of the Caribbean" บรรดาสินค้าที่เคยจ้างเขาเป็นพรีเซนเตอร์ยุติสัญญา
หลังบทความถูกเผยแพร่ เดปป์ตัดสินใจยิ่นฟ้องแอมเบอร์ เฮิร์ด ในข้อหาหมิ่นประมาท และนำมาสู่มหากาพย์ไต่สวนในศาลที่เพิ่งมีคำตัดสินออกมาเมื่อวานนี้
เป็นคดีที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคดีหนึ่งเพราะไม่ใช่เพียงคู่กรณีจะมีชื่อเสียงระดับโลก แต่นี่คือกรณีตัวอย่างเรื่องการใช้ความรุนแรงในครอบครัวที่ทั้งอาจเกิดจากการที่ฝ่ายหญิงเป็นผู้กระทำ และฝ่ายชายเป็นผู้ถูกกระทำ
คดีนี้เริ่มมีการไต่สวนตั้งแต่กลางเดือนเมษายน ใช้เวลา 6 สัปดาห์ ก่อนที่เมื่อคืนที่ผ่านมา ศาลได้ขึ้นบัลลังก์อ่านคำตัดสินของคณะลูกขุน ตัดสินให้จอห์นนี่ เดปป์ เป็นผู้ชนะคดี และแอมเบอร์ เฮิร์ด จ่ายค่าชดเชยให้เขาเป็นจำนวนเงิน 15 ล้านดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 515 ล้านบาท
โดยศาลชี้ว่า เดปป์มีหลักฐานเพียงพอที่พิสูจน์ได้ว่า เขาไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับอดีตภรรยา และ แอมเบอร์ เฮิร์ดคือคนที่เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ชื่อดังเพื่อหวังทำลายชื่อเสียงของเขา
บรรดาแฟนคลับของเด็ปป์จำนวนมากที่มารออยู่ที่หน้าศาลแสดงความดีใจเมื่อรู้ว่าเขาชนะคดี บางคนระบุว่า นี่คือสิ่งที่แสดงว่าในความเป็นจริงแล้ว ความรุนแรงเกิดขึ้นได้จากทั้งชายและหญิง
คดีนี้ได้รับความสนใจไม่เฉพาะเพียงแค่ว่าคู่กรณีเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ยังเป็นเพราะว่าเป็นหนึ่งในการรณรงค์ทางสังคมที่ร้อนแรงที่สุดเรื่องหนึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นั่นคือ ปรากฏการณ์ Me Too
Me Too เริ่มขึ้นโดยนักเคลื่อนไหวชาวอเมริกัน ทาราน่า เบิร์ก เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศให้กล้าลุกขึ้นมาเปิดเผยประสบการณ์ตนเองในฐานะเหยื่อ
ประเด็นนี้ร้อนแรงในสหรัฐนับตั้งแต่วันแรกๆที่เปิดตัว ในสังคมออนไลน์ #MeToo เป็นเหมือนค้อนทุบทลายประตูแห่งความอัดอั้นตันใจของผู้หญิงจำนวนมากที่ถูกกระทำ
เมื่อมีคนกล้าลุกขึ้นพูด ความมืดดำที่ซ่อนเร้นในหลายวงการถูกเปิดเผยออกมา ฮอลลีวูดก็เช่นกัน ที่เป็นกระแสสั่นสะเทือนมากที่สุดคือ การเปิดโปงพฤติกรรมการล่วงละเมิดทางเพศของโปรดิวเซอร์ชื่อดัง Harvey Weinstein จากบรรดาเหยื่อที่เป็นนักแสดงหญิง
Me Too ทำให้หลายคนในอุตสาหกรรมบันเทิงอเมริกันถูกสั่งพักงาน ถูกไล่ออก บางคนถูกดำเนินคดีและลงโทษทางกฎหมาย
บรรยากาศทางสังคมที่เคยเป็นอุปสรรคส่งเสียงของผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเปลี่ยนแปลงไปโดยเกือบจะสิ้นเชิงภายในระยะเวลาอันสั้น
ในวันที่แอมเบอร์ เฮิร์ดออกมาเขียนระบุว่า เธอเป็นเหยื่อ ผู้คนจำนวนมากจึงอยู่ข้างเธอ ผู้คนเชื่อว่าเธอถูกกระทำ และผู้ใช้ความรุนแรงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากอดีตสามีของเธอ
จอห์นนี่ เดปป์ ถูกปลดจากการเป็นนักแสดงในหลายเรื่อง รวมถึงงานที่สร้างชื่อเสียงให้เขาอย่าง "Pirates of the Caribbean”
ฮอลลีวูดหันหลังให้กับเขากว่า 6 ปี จนในที่สุดเด็ปป์ตัดสินใจฟ้องอดีตภรรยาในข้อหาหมิ่นประมาท
ในช่วงการไต่สวน ทนายความของจอนห์นี่เดปป์แสดงพยานหลักฐานมากมายเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ทำร้ายภรรยา หนึ่งในนั้นคือ เทปบันทึกการโต้เถียงอย่างหนักของเขากับแอมเบอร์ เฮิร์ด ในเทปดังกล่าวมีเสียงที่เขาร้องเพราะถูกทำร้าย และเสียงแอมเบอร์ เฮิร์ดที่ตะโกนว่า ขอเชิญขึ้นศาลไปฟ้องคนทั้งโลกเลยว่าคุณถูกผู้หญิงทำร้าย เพราะไม่มีใครบนโลกนี้ที่จะเชื่อคุณ
ในการแถลงปิดคดี สิ่งที่เดปป์พูดคือ ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เขาต้องแบกักรับจากการถูกตราหน้า เขาตัดสินใจฟ้องร้องถึงแม้รู้ว่าต้องเจ็บปวดกับการที่ทั้งโลกต้องมารู้เรื่องส่วนตัวของเขา แต่ต้องทำเพราะต้องการกอบกู้ชีวิตที่ถูกทำลาย โดยเดปป์บอกว่า เขาไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยทำและจะไม่ทำเลยคือ การใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง
และดูเหมือนว่าคณะลูกขุนทั้ง 7 คนจะเชื่อในพยานหลักฐานต่างๆรวมถึงคำพูดของพระเอกชื่อดังเมื่อตัดสินให้เขาเป็นฝ่ายชนะ
หลังผลการตัดสินออกมา แอมเบอร์ เฮิร์ดทวิตข้อความว่า เธอผิดหวังและใจสลายจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ เธอมีหลักฐานมากมายกองเป็นภูเขาแต่ไม่เพียงพอในการต้านทานทานอิทธิพลและอำนาจของอดีตสามี
เธอระบุด้วยว่า ที่ผิดหวังมากกว่าคือ คำตัดสินนี้จะส่งผลต่อผู้หญิงคนอื่นๆด้วย เพราะนี่เหมือนการเดินถอยหลังกลับไปสู่ยุคที่ผู้หญิงถูกประนามให้เกิดความอับอายเมื่อลุกขึ้นมาพูดว่าถูกใช้ความรุนแรงในครอบครัว
คำถามก็คือว่า คดีนี้ซึ่งตัดสินให้ฝ่ายชายเป็นฝ่ายชนะจะส่งผลทำให้ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงต้องกลับไปอยู่ในมุมมืดเหมือนที่เคยเป็นมาหรือไม่ สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อให้การกระทำความรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิงจะคงดำเนินต่อไปเหมือนที่เคยเป็นมาหรือไม่
ในโลกโซเชียลมีเดียมีการถกเถียงในเรื่องนี้กัน หลายคนบอกว่า อันที่จริงการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นได้จากทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง สังคมต้องแยกแยะให้ได้ว่าใครคือผู้กระทำใครคือเหยื่อ เพราะจากพยานหลักฐานในคดีนี้ ชัดเจนว่าฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายก่อความรุนแรง และข้อมูลทั้งหมดที่เธอเปิดโปงถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง ไม่มากก็น้อย คดีนี้จะส่งผลปรากฎการณ์ Me Too เพราะแม้ในฐานะการเคลื่อนไหวทางสังคมโดยรวม Me Too จะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่มันก็เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในคำถามหรือข้อถกเถียงคือ #MeToo นำไปสู่การด่วนตัดสิน และนำไปสู่การลงโทษลงทัณฑ์ทางสังคมหรือไม่ เพราะในหลายกรณีเมื่อเหยื่อที่เป็นผู้หญิงออกมาเปิดโปง สิ่งที่เกิดขึ้นคือการตราหน้าฝ่ายชายเพราะมีชุดความคิดที่ตายตัวว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าจึงตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
บนสังคมออนไลน์ที่กระจายไปอย่างรวดเร็วและไม่มีกลไกการตรวจสอบที่รัดกุม การ“ล่าแม่มด” เกิดขึ้น มีการตัดสินความผิดโดยยังไม่ทันได้พิสูจน์
หลายคนระบุว่า แฮชแท็กนี้ทำให้สังคมเหนื่อยหน่ายและเกรี้ยวโกรธ มากกว่าจะเกิดความเห็นอกเห็นใจกัน
หลังคำตัดสินออกมา จอห์นนี่ เดปป์ออกแถลงการณ์ว่า กว่า 6 ปีแล้วที่ชีวิตของเขา ลูกของเขา และคนที่ใกล้ชิดเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในพริบตาจากข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง ถึงแม้เขายังไม่ถูกตั้งข้อหา แต่บนโลกโซเชียลมีเดียก็ตัดสินเขาแล้วด้วยข้อความที่หยาดเหยียดและเกลียดชัง ชีวิตและอาชีพของเขาถูกทำลาย
6 ปีผ่านไป ในที่สุดคณะลูกขุนก็คืนชีวิตให้กับเขาอีกครั้ง และเขาขอน้อมรับไว้ ก่อนจะปิดแถลงการณ์ด้วยข้อความที่ว่า ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่มีวันตาย