“45 วัน” คือจำนวนวันที่ “ลิซ ทรัสส์” ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ซึ่งถือเป็นการดำรงตำแหน่งที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของมหาอำนาจตะวันตกแห่งนี้
ใครที่ไม่ได้ติดตามสถานการณ์หรือเหตุบ้านการเมืองของสหราชอาณาจักรอาจเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเธอถึงต้องลาออกทั้งที่เพิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งได้ยังไม่ถึง 2 เดือนดีเลยด้วยซ้ำ? หรือมีเหตุร้ายแรงอะไร?
ด่วน! “ลิซ ทรัสส์” นายกฯอังกฤษประกาศลาออก
ปชช.กว่าครึ่งผิดหวัง “ลิซ ทรัสส์” ขึ้นเป็นนายกฯอังกฤษคนใหม่
“ลิซ ทรัสส์”ชนะโหวต ขึ้นเป็นนายกฯอังกฤษคนใหม่
หลังจากที่ บอริส จอห์นสัน อดีตนายกฯ สหราชอาณาจักรประกาศลาออก พรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรครัฐบาลก็ได้จัดให้มีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพื่อรับตำแหน่งนายกฯ ทรัสส์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ก็เป็นหนึ่งแคนดิเดตตัวเต็งที่หลายคนคาดว่าน่าจะคว้าชัยไปได้
เธอดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังได้รับการโหวตให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม เฉือนเอาชนะ ริชี ซูนัค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปได้ที่คะแนน 57.4% ต่อ 42.6%
อย่างไรก็ตาม ประชาชนสหราชอาณาจักรจำนวนหนึ่งก็ไม่พอใจนักกับการที่ทรัสส์ขึ้นเป็นนายกฯ โดย ยูกอฟ (YouGov) บริษัทวิจัยตลาดและวิเคราะห์ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตระดับนานาชาติ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน 2,488 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 50 % รู้สึกผิดหวังที่ได้ ลิซ ทรัสส์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
หลังจากที่ทรัสส์ได้ตำแหน่งไม่นาน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก็เสด็จสวรรคต ทำให้การเมืองสหราชอาณาจักรอยู่ในช่วงสุญญากาศเกือบ 2 สัปดาห์จากงานพระราชพิธีและการไว้อาลัย
หลังจากที่ทรัสส์กลับมาทำงาน ควาซี ควอร์เทง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ได้ประกาศแผนการเก็บภาษีฉบับใหม่ ซึ่งรวมถึงการลดการเก็บภาษีผู้มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีการขอกู้เงินเพิ่ม ส่งผลให้ตลาดเศรษฐกิจขาดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของสหราชอาณาจักรจนปั่นป่วน ทำให้ค่าเงินปอนด์ร่วง อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง จนธนาคารแห่งชาติอังกฤษต้องใช้เงินหลายพันล้านเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินไว้
เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศดูจะย่ำแย่ ทรัสส์ก็ได้ประกาศไล่ควอร์เทงออกจากตำแหน่ง เพราะเป็นผู้ประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจดังกล่าว แต่ยังคงยืนยันว่า นโยบายของเธอเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเพียง 4 คำถามก่อนจะออกจากงานแถลงข่าวอย่างกะทันหัน
จากนั้นทรัสส์ได้แต่งตั้ง เจเรมี ฮันต์ ซึ่งเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุข ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่
เมื่อวันจันทร์ (17 ต.ค.) ที่ผ่านมา เขาประกาศฉีกเกือบทุกนโยบายการเงินของทรัสส์ทิ้ง ทำให้ผู้คนพากันเรียกเขาว่า “นายกรัฐมนตรีโดยพฤตินัย” และบอกว่า “ทรัสส์มีแต่ตำแหน่ง แต่ไม่มีอำนาจ”
ยังมีกรณีที่ ซูเอลลา เบรเวอร์แมน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลาออกจากตำแหน่งแบบกะทันหัน เนื่องจากมีข่าวลือว่าเธอนำเอกสารลับของทางราชการไปส่งต่อให้กับบุคคลอื่น
เมื่อคืนวันพุธ (19 ต.ค.) ยังเกิดความวุ่นวายในรัฐสภาอังกฤษ หลังพยานบางคนอ้างว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถูกบีบบังคับและกลั่นแกล้งในการลงคะแนนเสียงในญัตติหนึ่ง จนมีการเรียกร้องให้ทรัสส์ลาออก
นี่ยังไม่นับรัฐมนตรีที่ถูกไล่ออกในข้อกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในการประชุมพรรค เรื่องอื้อฉาวของ มาร์ก ฟูลบรูก เสนาธิการของทรัสส์ และที่ปรึกษารายหนึ่งที่กล่าวกลางงานแถลงข่าวต่อสื่อว่า คู่แข่งรายหนึ่งของทรัสส์นั้น “ห่วยแตก”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือนนี้ ทำให้เสถียรภาพทางการเมืองของสหราชอาณาจักรง่อนแง่นและขาดความน่าเชื่อถือ จนท้ายที่สุดแล้ว ลิซ ทรัสส์ ต้องลาออกเพื่อแก้ไขสถานการณ์
หลังจากนี้ จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตั้งแต่วันที่ 20-24 ต.ค. โดยผู้สมัครชิงตำแหน่งหรือแคนดิเดต ต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 100 คน ซึ่งจะมีแคนดิเดตได้สูงสุด 3 คน แต่หากมีแคนดิเดตเพียงคนเดียวที่ได้เสียงโหวตเกิน 100 เสียง ก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยอัตโนมัติ
คาดว่าสหราชอาณาจักรจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ภายในวันที่ 28 ต.ค. หรืออาจทราบอย่างเร็วที่สุดตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการลงคะแนนเสียง
เรียบเรียงจาก The Guardian
ภาพจาก AFP
