“เจียง เจ๋อหมิน” อดีตประธานาธิบดีจีน ถึงแก่อสัญกรรมในวัย 96 ปี จากโรคลูคีเมียและอวัยวะหลายระบบหยุดทำงาน เมื่อเวลา 12.13 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ของวันนี้ (30 พ.ย.) ที่นครเซี่ยงไฮ้
เจียง เจ๋อหมิน ก้าวสู่อำนาจในปี 1989 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างมาก เพราะต้องเป็นผู้นำต่อจากประธานาธิบดี เติ้ง เสี่ยวผิง ที่ใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงในจัตุรัสเทียนอันเหมินจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมนองเลือด และถูกนานาชาติประณาม ประกอบกับจีนเพิ่งเปิดประเทศ และอยู่ในช่วงปฏิรูปเศรษฐกิจ
ต้านไม่ไหว! จีนยุติล็อกดาวน์ เมืองเจิ้งโจว ที่ตั้งโรงงานผลิตไอโฟน ชนวนประท้วงในหลายเมือง
“กระดาษขาว สมการฟรีดมันน์ และอัลปากา” สัญลักษณ์ในการประท้วงจีน
เส้นทางประท้วงใหญ่ในจีน ความไม่พอใจที่ลุกลามเป็นการขับไล่ “สี จิ้นผิง”
เจียง เจ๋อหมิน ยังถือเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนในทางปูทางให้จีนก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจโลกในทางเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนให้นักธุรกิจเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ และจับมือกับนายกรัฐมนตรี จู หรงจี้ รื้อระบบสวัสดิการใหม่
เขายังนำจีนเข้าสู่การเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ทำให้มีการลงทุนจากต่างประเทศจากบริษัทต่าง ๆ เช่น General Motors และ Walmart ทะลักเข้าสู่จีนมากขึ้น จนตัวเลขเศรษฐกิจเติบโตในระดับเลขสองหลักต่อเนื่องมากกว่าสิบปี
ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งระหว่างปี 1989-2002 เศรษฐกิจของจีนมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า 3 เท่า
ทางการจีนระบุว่า “เราเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องแจ้งต่อพรรคฯ กองทัพ และประชาชนจีนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ว่า เจียง เจ๋อหมิน สหายผู้เป็นที่รักของปวงชน ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและอวัยวะล้มเหลวหลายระบบ หลังจากการรักษาทางการแพทย์ไม่ประสบผลสำเร็จ”
ทางการเสริมว่า เจียงเจ๋อหมินเป็นผู้นำที่โดดเด่น ซึ่งมีเกียรติภูมิสูงส่งและเป็นที่ยอมรับโดยพรรคฯ กองทัพ และประชาชนจีนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งยังเป็นนักมาร์กซิสต์ นักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ รัฐบุรุษ นักยุทธศาสตร์การทหาร และนักการทูตที่ยิ่งใหญ่ ตลอดจนเป็นนักต่อสู้ของคอมมิวนิสต์ที่ผ่านบททดสอบยาวนาน และผู้นำที่โดดเด่นของสังคมนิยมที่ยิ่งใหญ่อันมีอัตลักษณ์จีน โดยเจียงเป็นแกนหลักของคณะผู้นำร่วมส่วนกลาง รุ่นที่ 3 ของพรรคฯ และยังเป็นผู้ก่อตั้งหลักของทฤษฎีสามตัวแทน (Theory of Three Represents) ด้วย
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การบริหารประเทศจีนของเจียง เจ๋อหมิน เป็นรากฐานของการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งหยั่งรากฝังลึกมาจนถึงทุกวันนี้
เรียบเรียงจาก Bloomberg / CNN / Xinhua
ภาพจาก AFP