เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทางการจีนได้ประกาศยุติการล็อกดาวน์ในเขตต่างๆ ประมาณครึ่งหนึ่งของเมืองกว่างโจวในมณฑลกวางตุ้ง ทางภาาคใต้ของประเทศ โดยประกาศดังกล่าวได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นปรับเปลี่ยนสถานะของเขตพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ความเสี่ยงต่ำและยกเลิกสั่งคำสั่งควบคุมการแพร่ระบาดอีกหลายข้อ
โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 ทางการเมืองกว่างโจวได้ยกเลิกคำสั่งที่กำหนดให้ประชาชนเข้ารับการตรวจเชื้อโควิด-19 และอนุญาตให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถกักตัวที่บ้านได้
“สนามบินดอนเมืองเฟส 3” คาดยกระดับให้บริการ-พื้นที่เชิงพาณิชย์ หนุนรายได้ AOT
ราคาทองวันนี้ "ไม่ขยับ" ตลาดต่างประเทศพุ่ง แต่บาทแข็งช่วยฉุดราคา
การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคในขณะนี้มีขึ้นหลังจากจำนวนผู้ป่วยลดลงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ตัวเลขก็ยังสูงราว 7,000 คน (29 พฤศจิกายน 2565)
สำหรับกว่างโจวเป็นอีกหนึ่งเมืองที่เกิดการประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ ที่ประกาศใช้อย่างเข้มงวดมาตลอด 3 ปี นับตั้งแต่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อช่วงปลายปี 2019
ข้อเรียกร้องของประชาชนที่ออกมาประท้วงคือ ต้องการให้รัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยหลังจากประชาชนลงถนนและปะทะกับเจ้าหน้าที่หนักขึ้น ทางการกว่างโจวได้ตัดสินใจใช้กำลังตำรวจควบคุมฝูงชน เพื่อควบคุมและสลายการชุมนุม
อีกหนึ่งเมืองที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้วเช่นกันคือ “ฉงชิ่ง” มหานครทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือที่มีฐานะเทียบเท่ามณฑล จะอนุญาตให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดกับคนที่ติดเชื้อ ซึ่งมีเงื่อนไขต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ สามารถกักตัวอยู่ที่บ้านได้ โดยไม่ต้องไปอยู่ในศูนย์กักตัว
นอกจากการประกาศผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิดของ ฉงชิ่ง กว่างโจว และเมืองเจิ้งโจวในมณฑลเหอหนานที่ยุติการล็อกดาวน์แล้วเมื่อวันที่ 30 พฤศจกายน ที่ผ่านมา ในช่วงต้นสัปดาห์ รัฐบาลชาติจีนยังออกมาแถลงว่าพร้อมจะสนองตอบต่อ “ความกังวลห่วงใยอันเร่งด่วน” ที่ประชาชนแสดงออกมา รวมทั้งบอกด้วยว่ากฎระเบียบในเรื่องการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ควรต้องบังคับใช้ด้วยความยืดหยุ่น ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขต่างๆ ของท้องถิ่น
เช่นเดียวกับ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนที่ประกาศเร่งรัดการรณรงค์ฉีดวัคซีนโดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงวัยที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ และถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการผ่อนคลายมาตรการสกัดโควิด
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณว่ารัฐบาลจีนจะยุติ “นโยบายโควิดเป็นศูนย์” หรือ “ซีโร่โควิด” ซึ่งประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ย้ำมาตลอดว่าสามรถช่วยชีวิตประชาชนได้เป็นจำนวนมาก
โดยหลายฝ่ายในจีนยังคงวิตกว่า การเปิดประเทศโดยที่ประชาชนจำนวนมากไม่มีภูมิคุ้มกันอย่างสมบูรณ์ อาจทำให้มีผู้ติดเชื้อล้มป่วยเป็นจำนวนมากจนระบบสาธารณสุขของจีนรับมือไม่ไหว และอาจมีผู้เสียชีวิตนับล้านคน
ส่วนสถานกาณ์ด้านการประท้วงในจีน ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองของชาติตะวันตก โดยล่าสุด “ฟรีดอมเฮาส์” ( Freedom House) องค์กรเอกชนด้านส่งเสริมเสรีภาพและประชาธิปไตยที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ประเมินว่าว่า ระหว่างวันเสาร์ถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เกิดการการประท้วงอย่างน้อย 27 แห่ง ทั่วประเทศจีน
ขณะที่ นาย แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างการร่วมประชุมองค์การสนธิสัญญาณแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต ในโรมาเนีย ระบุว่า การปราบปรามผู้ประท้วงในจีนเคือการส่งสัญญาณความอ่อนแอของผู้นำคอมมิวนิสต์จีน ทั้งที่ประชาชนในทุกประเทศมีสิทธิ์แสดงความไม่พอใจด้วยการชุมนุมอย่างสงบ