เอลอน แกล ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทฮัดสัน ร็อก ซึ่งเป็นบริษัทดูแลความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ของอิสราเอล เปิดเผยเมื่อวันพุธ (4 ม.ค.) ที่ผ่านมาว่า พบแฮกเกอร์ขโมยที่อยู่อีเมลของเหล่าผู้ใช้ทวิตเตอร์กว่า 200 ล้านบัญชี
มิหนำซ้ำยังมีการนำอีเมลดังกล่าวไปโพสต์แสดงในงานประชุมออนไลน์ของเหล่าแฮกเกอร์ แกลกล่าวว่า “นี่เป็นหนึ่งในการรั่วไหลของข้อมูลอันส่งผลกระทบมากที่สุดที่เคยเจอ”
ลดต้นทุนทวิตเตอร์อีก! เลิกจ้างแม่บ้าน-ไม่มีทิชชูในห้องน้ำให้
ทำตามคำพูด! “อีลอน มัสก์” ประกาศลาออกซีอีโอทวิตเตอร์
“บลูมาร์ก” ทวิตเตอร์คัมแบ็ก ผู้ใช้ไอโฟนจ่าย “ค่ายืนยันตัวตน” แพงกว่า
เขาเสริมว่า “การละเมิดกฎบนโลกออนไลน์ในครั้งนี้เป็นที่น่าอับอายมาก เพราะจะนำไปสู่การแฮก การหลอกหลวงเพื่อล้วงข้อมูลทางสื่อออนไลน์ และการคุกคามความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว”
แกลได้โพสต์เรื่องที่ทวิตเตอร์ถูกล้วงข้อมูลลงบนสื่อออนไลน์มาตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. แต่ทวิตเตอร์ก็ไม่ได้ออกมาชี้แจงหรือแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหายนี้แต่อย่างใด ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เหตุใดทวิตเตอร์จึงยังไม่เริ่มสืบสวนหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสียที
ด้าน ทรอย ฮันต์ ครีเอเทอร์ของเว็บไซต์แจ้งเตือนการล่วงละเมิดบนโลกออนไลน์ Have I Been Pwned กล่าวหลังจากเห็นข้อมูลที่รั่วไหลดังกล่าวว่า “น่าจะเป็นเหมือนที่ (เอลอน แกล) ได้อธิบายไป”
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่เป็นผู้รายงานเรื่องนี้เป็นเจ้าแรกก็ได้ออกมากล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า ข้อมูลอีเมลของบัญชีผู้ใช้ที่ถูกนำไปแชร์ในงานประชุมออนไลน์ของเหล่าแฮกเกอร์นั้นเป็นบัญชีที่มีผู้ใช้เป็นบุคคลจริงและมาจากทวิตเตอร์จริง ๆ หรือไม่
ปัจจุบันยังไม่พบเบาะแสที่สามารถระบุตัวตนหรือสถานที่ที่แฮกเกอร์ใช้เป็นฐานในการล้วงข้อมูลครั้งนี้ มีการสันนิษฐานว่า การแฮกอาจเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อต้นปี 2021 ก่อนที่ อีลอน มัสก์ จะมาเป็นเจ้าของทวิตเตอร์
การละเมิดกฎอย่างร้ายแรงในครั้งนี้ ส่งผลให้คณะกรรมการปกป้องข้อมูล (DPC) ในไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ทวิตเตอร์ภาคพื้นยุโรป และคณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เริ่มติดตามความเคลื่อนไหวของทวิตเตอร์พร้อมกำชับให้ปฏิบัติตามกฎการปกป้องข้อมูลของยุโรป ซึ่งทางสหรัฐฯ ก็เห็นพ้องกับการปฏิบัติตามกฎดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ซึ่งหลังจากที่มีการกำชับจากคณะกรรมการทั้งสองฝ่ายจนถึงวันพฤหัสบดี (5 ม.ค.) ที่ผ่านมา ทางทวิตเตอร์ก็ยังไม่ออกมาตอบรับแต่อย่างใด
เรียบเรียงจาก Al Jazeera
ภาพจาก AFP