เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และยูเครนอ้างว่า อัตราการยิงปืนใหญ่โจมตียูเครนของรัสเซียลดระดับลงมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มการโจมตีเมื่อ 11 เดือนก่อน ในบางพื้นที่มีอัตราการโดนโจมตีด้วยปืนใหญ่ลดลงถึง 75% ซึ่งทางการสหรัฐฯและยูเครนยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ชัดเจน
ข้อสันนิษฐานหนึ่งคือ อาจมาจากทรัพยากรทางการทหารของรัสเซียเริ่มร่อยหรอ หรือการที่ยูเครนยึดพื้นที่คืนเพิ่มขึ้น โดยทางการสหรัฐฯ และยูเครน กล่าวว่า นี่เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า รัสเซียมีกำลังรบที่อ่อนแอลงเมื่อเทียบกับการเปิดฉากรุกรานเมื่อปีก่อน
ดุเดือดอีกครั้ง อังกฤษเผยรัสเซียยึดเมืองโซเลดาร์ได้แล้ว
ยูเครนยังต้องการอาวุธเพิ่ม? โอกาสจบสงครามที่โต๊ะเจรจาริบหรี่
สหราชอาณาจักรพิจารณาอาจส่งรถถัง “ชาเลนเจอร์ 2” ให้ยูเครน
ยูเครนยังได้กำลังสนับสนุนทางทหารเพิ่มจากประเทศแถบยุโรปตะวันตก ทั้งยังได้รับยานเกราะจู่โจมรวมไปถึงระบบขีปนาวุธภาคพื้นสู่อากาศ MIM-104 Patriot จากสหรัฐฯ และเยอรมนีตามที่รับปากไว้ เพื่อเพิ่มศักยภาพการป้องกันการโจมตีด้วยมิสไซล์และโดรนของรัสเซีย
นอกจากอัตราการโจมตีด้วยปืนใหญ่จะลดลงแล้ว เมื่อต้นเดือนนี้ รัสเซียยังพ่ายแพ้ต่อกองกำลังยูเครนหลังจากถูกถล่มยับที่ฐานชั่วคราวและคลังอาวุธในเมืองมาคิอิฟคา (Makiivka) ทางตะวันออกของยูเครน ส่งผลให้ทหารรัสเซียเสียชีวิตเกือบร้อยนาย อาวุธและเสบียงถูกทำลายเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า “ความสำเร็จจากการโจมตีครั้งนี้ จะทำให้ทางรัสเซียมีอาวุธและทรัพยากรทางทหารน้อยลง”
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังเสริมว่า “จนถึงตอนนี้ รัสเซียก็ยังมุ่งเน้นไปที่การโจมตีด้วยอาวุธอย่างมิสไซล์และขีปนาวุธนำวิถี นั่นทำให้การจัดหาทรัพยากรหรืออาวุธประเภทอื่นน้อยลง จนอาจส่งผลให้อัตราการยิงปืนใหญ่น้อยลงตามไปด้วย”
เรื่องนี้ยังทำให้คำถามเรื่องความพร้อมและประสิทธิภาพอาวุธของรัสเซียถูกพูดถึงอีกครั้ง โดยเมื่อเดือนที่แล้ว เจ้าหน้าที่กลาโหมระดับสูงของสหรัฐฯ เพิ่งออกมาอ้างข้อมูลว่า กระสุนปืนใหญ่ที่รัสเซียใช้ขณะนี้ เป็นของเก่าเก็บจากเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งสะท้อนว่าความสมบูรณ์พร้อมของคลังแสงรัสเซียกำลังแห้งเหือดเข้าไปทุกที
เรียบเรียงจาก CNN
ภาพจาก AFP