โดยทางการยูเครนรายงานว่า รัสเซียได้โจมตีถล่มโบสถ์คริสต์ จนทำให้โบสถ์พังเสียหายและประชาชนได้รับบาดเจ็บ
ขณะที่สงครามและการสู้รบโจมตียังคงเป็นไปอย่างดุเดือด เมื่อวานนี้ มีอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ คือ การเดินทางเยือนรัสเซียของรัฐมนตรีกลาโหมจีน
วานนี้ 16 เม.ย. หลี่ ซ่างฝู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจีน ได้เดินทางเยือนกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย และเข้าพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือทางการทหารระหว่างทั้งสองชาติ
เอกสารลับที่ถูกอ้างเป็นข้อมูลข่าวกรองสหรัฐฯ คาดสงครามยูเครน-รัสเซีย มีแนวโน้มยืดเยื้อตลอดปี
ยูเครนหวังสหรัฐฯ ส่ง "แพทริออต" หลังจากจบเทศกาลอีสเตอร์
ในระหว่างการหารือร่วมกัน ประธานาธิบดีปูตินได้ระบุว่า ความร่วมมือทางการทหารระหว่างจีนและรัสเซียเป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองชาติ
ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมจีนระบุว่า ความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างจีนและรัสเซียกำลังแน่นแฟ้นมากขึ้นและให้ “ผลลัพธ์คุ้มค่า” และจีนพร้อมทำงานร่วมกับรัสเซียเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
หลายฝ่ายให้ความสนใจกับการเดินทางเยือนรัสเซียของรัฐมนตรีกลาโหมจีน เพราะเป็นการเดินทางเยือนรัสเซียครั้งแรกของหลี่ ซ่างฝู หลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การเดินทางของนายหลี่ ซ่างฝู ถือเป็นการเดินทางของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนครั้งที่ 2 ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน หลังจากที่สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เดินทางเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา
หลี่ ซ่างฝู เป็นหนึ่งในบรรดารัฐมนตรีที่ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ ให้ความสนใจ เนื่องจากเขาเคยถูกรัฐบาลสหรัฐฯ คว่ำบาตรเมื่อปี 2018 จากการทำธุรกรรมกับบริษัทผู้ส่งออกอาวุธที่รัฐบาลรัสเซียเป็นเจ้าของ ขณะที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกพัฒนาอาวุธกองทัพจีน
รายงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า หลี่ ซ่างฝู ได้สั่งซื้อเครื่องบินและอาวุธต่างๆ เข้ามายังจีน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินขับไล่ซุคฮอย ซู-35 อุปกรณ์ของระบบป้องกันภัยทางอากาศรุ่น S-400 ในช่วงปี 2017-2018
นอกจากนี้ การเดินทางเยือนของรัฐมนตรีกลาโหมจีนยังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่แอนาเลนนา แบร์บ็อก รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนีเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ และหารือร่วมกับ ฉิน กัง รัฐมนตรีต่างประเทศจีน
ในระหว่างการพบกันของทั้งคู่เมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนีย้ำชัดเจนว่า คนเดียวที่จะจบสงครามในยูเครนได้คือประธานาธิบดีปูติน และคนที่มีบทบาทสำคัญในการคุยกับผู้นำรัสเซีย คือ จีน
ก่อนที่รัฐมนตรีต่างประเทศจีนจะแสดงจุดยืนแบบชัดเจนว่า จีนต้องการให้เกิดสันติภาพในยูเครน นอกจากบรรดาผู้นำของชาติตะวันตกแล้ว ผู้นำอีกคนที่ออกมาพูดถึงเรื่องการเจรจาสันติภาพสงครามในยูเครน ผ่านการให้จีนเป็นตัวกลาง คือ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิล
ประธานาธิบดีลูลาได้พูดย้ำประเด็นสันติภาพในยูเครนหลายครั้ง ระหว่างที่เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ เพื่อหารือกระชับความสัมพันธ์สัมพันธ์รัสเซีย-บราซิล ร่วมกับประธานาธิบดีสีของจีน
นอกจากประเด็นด้านเศรษฐกิจแล้ว เมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีลูลาได้แถลงต่อสื่อมวลชน ขณะที่อยู่ในนครอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่า
สงครามยูเครนเป็นหนึ่งในวาระสำคัญที่เขาหารือร่วมกับผู้นำจีน ตอนนี้เขาพยายามรวบรวมพันธมิตรที่ไม่สนับสนุนสงคราม ซึ่งจะมีบราซิล จีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อพูดคุยหารือกับรัสเซีย ยูเครน สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ถึงหนทางในการยุติสงครามนี้
ประธานาธิบดีลูลา ย้ำหนักแน่นว่า สงครามจะจบลงได้ต่อเมื่อทุกฝ่ายหันมาเจรจาร่วมกัน แต่ตอนนี้ไม่มีฝ่ายใดพร้อมเจรจา ไม่ว่าจะเป็นยูเครน รัสเซีย สหรัฐฯ หรือสหภาพยุโรป ทำให้การบรรลุสันติภาพกลายเป็นเรื่องยากที่จะเป็นจริง
ขณะที่การเจรจาเพื่อสันติภาพในยูเครนที่เป็นเหมือนภาพใหญ่ยังคงดำเนินอยู่ แต่การต่อสู้และการโจมตี ซึ่งเป็นภาพเล็กของความขัดแย้งในครั้งนี้ก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่เว้นแม้แต่ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ของยูเครน
ทางการยูเครนรายงานว่า รัสเซียได้ใช้ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานรุ่น S-300 จำนวน 2 ลูก โจมตีพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นซาโปริซเซีย โดยมีลูกหนึ่งระเบิดในพื้นที่โบสถ์ ที่อยู่ในช่วงฉลองเทศกาลคืนชีพของพระเยซูคริสต์ หรืออีสเตอร์
ผลจากการแรงระเบิดทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ 2 ราย และอาคารของโบสถ์พังถล่มลงมาเกือบทั้งหลัง เหลือไว้เพียงโดมทองที่เป็นยอดของโบสถ์
ประชาชนและเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำวัตถุสำหรับบูชา รูปภาพพระเยซู และเทวรูปต่างๆ ออกมาจากซากปรักหักพังของโบสถ์
ขณะที่ประชาชนและทหารที่เมืองครามาทอร์สก์และสลาเวียนสก์ ในแคว้นโดเนตสก์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายที่รัสเซียต้องการครอบครองต่อจากเมืองบัคมุต ก็ได้ออกมาทำพิธีฉลองเทศกาลอีสเตอร์เช่นกัน
ประชาชนบอกว่า เทศกาลอีสเตอร์ปีนี้แตกต่างไปจากทุกปี พวกเขาไม่มีลูกหลานมาเยี่ยมหรือไปโบสถ์ได้เหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องจากต้องอยู่ท่ามกลางภาวะสงคราม สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการในตอนนี้ คือ สันติภาพบนแผ่นดินยูเครน
ด้านทหารที่ประจำการอยู่ในแนวหน้าเมืองบัคมุต ก็ได้เฉลิมฉลองเทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งควรจะเป็นวันหยุดที่พวกเขาได้อยู่กับครอบครัว ด้วยการแบ่งปันขนมปังให้กันและกัน ท่ามกลางการสู้รบอย่างดุเดือดที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล
ทหารเหล่านี้บอกว่า การได้ฉลองอีสเตอร์ที่บ้านเป็นสิ่งที่ดีกว่าการฉลองกลางสนามรบแน่นอน แต่สิ่งที่พวกเขาต้องทำขณะอยู่ในแนวหน้าในเวลานี้ คือ อย่าเสียกำลังใจและสู้ต่อไป
ส่วนสถานการณ์การสู้รบในสมรภูมิเมืองบัคมุต โดยเฉพาะบริเวณใจกลางเมืองและพื้นที่โดยรอบ ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด
ล่าสุด อิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ออกมาแถลงว่า ตอนนี้กลุ่มนักรบรับจ้างแวกเนอร์สามารถยึดพื้นที่นอกเมืองทางทิศเหนือและทิศใต้ได้แล้ว
นอกจากประเด็นการสู้รบในเมืองบัคมุต เมื่อวานนี้ มีรายงานว่าเนื่องในเทศกาลวันอีสเตอร์ รัสเซียได้แลกเปลี่ยนตัวเชลยสงครามกับยูเครนอีกครั้ง รวมถึงกลุ่มแวกเนอร์ได้ปล่อยตัวทหารยูเครนอีกกว่า 100 คนเช่นกัน
เยฟเกนี ปริโกชิน ผู้ก่อตั้งกลุ่มนักรบรับจ้างแวกเนอร์ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่ระบุว่า กลุ่มแวกเนอร์ได้ปล่อยตัวเชลยสงครามชาวยูเครนกว่า 100 คน เนื่องจากเป็นเทศกาลอีสเตอร์
ในคลิปวิดีโอดังกล่าวทหารของกลุ่มแวกเนอร์ได้พูดกับทหารยูเครนว่า สุขสันต์วันเทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งเป็นภาพที่เกิดขึ้นไม่ค่อยบ่อยนัก
ขณะเดียวกัน เมื่อวานนี้ทางการยูเครนได้เผยแพร่ภาพการแลกเปลี่ยนตัวเชลยศึกกับรัสเซียออกมา
แอนดรี เยอร์มัก หัวหน้าสำนักประธานาธิบดียูเครน เปิดเผยว่า ทางการยูเครนได้แลกเปลี่ยนเชลยกับรัสเซียจำนวน 130 คน ซึ่งผู้ที่เดินทางกลับมามีทั้ง ทหาร เจ้าหน้าที่รักษาชายแดน เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์มาตุภูมิ รวมถึงกะลาสีเรือ
การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งใหญ่ครั้งที่สองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเมื่อวันจันทร์ รัสเซียและยูเครนรายงานว่า ได้แลกเปลี่ยนเชลยสงครามรัสเซีย 106 คน กับเชลยสงครามยูเครนจำนวน 100 คน
นอกจากประเด็นการสู้รบ การปล่อยตัวเชลยแล้ว ล่าสุดสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักรายงานว่า ทางการรัสเซียได้จับกุมและสั่งจำคุกนักข่าวรัสเซีย ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำสงครามของรัสเซียในยูเครน
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ศาลรัสเซียได้สั่งจำคุก วลาดิมีร์ คารา-มูร์ซา อดีตนักข่าวและนักการเมืองฝ่ายค้านของรัสเซีย เป็นเวลา 25 ปีในข้อหากบฎและข้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจารณ์กองทัพในสงครามยูเครน
อดีตนักข่าวและนักการเมืองลูกครึ่งรัสเซีย-อังกฤษรายนี้ ถือเป็นศัตรูทางการเมืองคนล่าสุดของประธานาธิบดีปูติน ที่ถูกจับกุมตัวและจำคุก
สำนักข่าวบีบีซีระบุว่า ในระหว่างการพิจารณาคดีมูร์ซาได้กล่าวกับศาลว่า เขายอมรับทุกคำพูดที่ได้พูดวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลรัสเซีย และไม่รู้สึกผิดที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลรัสเซีย นอกจากนี้ยังภูมิใจกับสิ่งที่ได้พูดออกไป