เรือรบเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ทางออกของกองเรือสหรัฐในการยกระดับทัดเทียมจีน?

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ผู้บัญชาการกองทัพเรือสหรัฐ เคยออกมายอมรับว่า กองเรือของกองทัพจีน “เหนือกว่า” กองเรือของสหรัฐฯ จนถึงวันนี้ผู้บัญชาการทหารเรือของสหรัฐฯ ก็ยังคงเกาหัวแก้ปัญหาไม่ตก “จะทำอย่างไรให้สหรัฐฯ ก้าวตามทันกองเรือรบของจีนที่ขยายตัวตลอดเวลา”

ไม่เพียงแต่กองทัพเรือของจีนจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่จำนวนเรือรบก็กำลังทิ้งห่างสหรัฐฯ มากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้เชี่ยวชาญบางคนประเมินว่า จีนสามารถสร้างเรือรบได้ 3 ลำในเวลาที่สหรัฐฯ ใช้สร้าง 1 ลำ

เรื่องปกติที่ไม่ควรปกติ รวม 10 อุบัติเหตุรถไฟในอินเดียที่รุนแรงที่สุด

“พริโกซิน” อ้าง กองทัพรัสเซียแอบวางระเบิดหวังทำร้าย “แวกเนอร์”

ผู้บัญชาการกองทัพเรือยอมรับ “กองเรือสหรัฐสู้จีนไม่ได้”

เพนตากอนประเมินว่า กองทัพเรือของจีนมีเรือรบประมาณ 340 ลำในปัจจุบัน ในขณะที่สหรัฐฯ มีน้อยกว่า 300 ลำ และคาดว่ากองเรือของจีนจะเพิ่มเป็น 400 ลำในอีก 2 ปีข้างหน้า ในขณะที่กองเรือสหรัฐฯ ต้องใช้เวลาอีกมากกว่า 20 ปีถึงจะมีเรือรบ 350 ลำ

ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า ทางออกที่เป็นไปได้สำหรับสหรัฐฯ ในการจะเร่งฝีเท้าให้ทันกองเรือจีน คือการพึ่งพา “พันธมิตร” ที่จีนไม่มี อย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ซึ่งสองประเทศนี้กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกในการสร้างเรือรบศัยภาพสูงและราคาไม่แพง

เบลก เฮอร์ซิงเกอร์ นักวิจัยจากศูนย์อเมริกันศึกษาในออสเตรเลีย  กล่าวว่า “เรือรบของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ทัดเทียมกับจีนได้อย่างแน่นอน”

ขณะที่ คาร์ล ชูสเตอร์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการศูนย์ข่าวกรองร่วมของกองบัญชาการสหรัฐฯ-แปซิฟิกในฮาวาย เสริมว่า “ขณะนี้ อุตสาหกรรมออกแบบเรือรบของญี่ปุ่นอยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุดในโลก”

ผู้เชี่ยวชาญยกตัวอย่างเรือรบ Type 055 ของจีน ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรือพิฆาตชั้นนำของโลก มีขนาดใหญ่กว่าเรือพิฆาตทั่วไป ระวางขับน้ำ (Displacement Tonnage) อยู่ที่ 12,000 ถึง 13,000 ตัน มีขนาดใกล้เคียงกับเรือลาดตระเวนชั้นติคอนเดอโรกาของกองทัพเรือสหรัฐฯ

นอกจากนี้ Type 055 ยังบรรจุอาวุธที่น่าเกรงขาม ไม่ว่าจะเป็นระบบปล่อยจรวดแนวตั้ง (VLS) ที่มีอยู่ 112 ช่องสำหรับยิงขีปนาวุธภาคพื้นสู่อากาศและขีปนาวุธต่อต้านเรือรบ มากกว่าเรือพิฆาตชั้น อาร์ลีห์ เบิร์ก รุ่นใหม่ล่าสุดของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่มีอยู่เพียง 96 ช่อง นอกจากนี้ยังมีวิทยุและระบบอาวุธต่อต้านเรือดำน้ำที่มีความซับซ้อน

แต่นักวิเคราะห์ชาวตะวันตกบางคนมองว่า Type 055 ของจีน อาจมีความคล้ายคลึงกับเรือพิฆาตชั้น เซจง เดอะ เกรต ของเกาหลีใต้

ด้วยระวางขับน้ำ 10,000 ถึง 12,000 ตัน เรือพิฆาตชั้นเซจงมีขนาดเล็กกว่า Type 055 ของจีนเล็กน้อย แต่มีอานุภาพการยิงมากกว่า ด้วย VLS 128 ช่อง และอาวุธอื่น ๆ รวมถึงขีปนาวุธพื้นผิวสู่อากาศ ขีปนาวุธต่อต้านเรือดำน้ำ และขีปนาวุธร่อน

เรือรบเซจงมีมูลค่าลำละ 925 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.2 หมื่นล้านบาท) ถือเป็นความภาคภูมิใจของกองเรือเกาหลีใต้ ซึ่งบอกว่า “ด้วยเรือลำเดียวนี้ กองทัพเรือเกาหลีใต้สามารถรับมือกับหลายสถานการณ์พร้อมกันได้ เช่น ต่อต้านอากาศยาน ต่อต้านเรือ ต่อต้านเรือดำน้ำ ต่อต้านผิวน้ำ และป้องกันขีปนาวุธ”

ขณะที่ญี่ปุ่นเองก็มีเรือพิฆาตระดับเวิลด์คลาส อเลสซิโอ ปาตาลาโน ศาสตราจารย์ด้านสงครามและยุทธศาสตร์แห่งคิงส์คอลเลจในลอนดอน กล่าวว่า เรือพิฆาตชั้นมายาลำใหม่ล่าสุดของญี่ปุ่นมี VLS 96 ช่อง สามารถยิงได้ทั้งขีปนาวุธต่อต้านขีปนาวุธและขีปนาวุธต่อต้านเรือดำน้ำ รวมถึงมีเซ็นเซอร์และระบบตรวจจับอยู่ในระดับเหนือสุดของโลก

ปาตาลาโนกล่าวว่า เรือรบชั้นมายาเคยแสดงความสามารถในการทำลายขีปนาวุธที่อยู่นอกชั้นบรรยากาศโลกมาแล้ว

นั่นทำให้เรือรบชั้นมายาของญี่ปุ่นทัดเทียมกับ อาร์ลีห์ เบิร์ก ของสหรัฐฯ แต่มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ นั่นคือเรื่องของ “ราคา” โดยอาร์ลีห์ เบิร์ก มีราคาสูงถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (7.65 หมื่นล้านบาท) ต่อลำ ขณะที่มายามีราคาน้อยกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.4 หมื่นล้านบาท) ต่อลำ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เรือรบมายาเป็นตัวแทนของทั้ง “ปริมาณและคุณภาพ” เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ต้นทุนค่อข้างต่ำ และสามารถเปิดสายการผลิตได้อย่างรวดเร็ว

“หากการต่อเรือของจีนแสดงให้เห็นศักยภาพที่โดดเด่นสำหรับการผลิตจำนวนมาก การต่อเรือของญี่ปุ่นก็เป็นผู้นำในด้านคุณภาพที่จับต้องได้ในระดับที่ใหญ่กว่ามหาอำนาจทางเรือส่วนใหญ่ โดยไม่ต้องลดเวลาในการว่าจ้าง ความสมดุลนั้นและประสบการณ์ในปรัชญาถือเป็นข้อได้เปรียบที่แท้จริง” Patalano กล่าว

และไม่ใช่แค่มายาเท่านั้น เมื่อพิจารณาเรือฟริเกตชั้นโมกามิของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเรือรบขนาด 5,500 ตันที่รวดเร็วและพรางตัวได้ พร้อม VLS 16 ช่องที่ยิงขีปนาวุธภาคพื้นสู่อากาศและขีปนาวุธต่อต้านเรือรบได้ ใช้ลูกเรือเพียง 90 คนและมีราคาประมาณ 372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 1.3 หมื่นล้านบาท) ต่อลำ

ในทางตรงกันข้าม เรือฟริเกตชั้นคอนเตลเลชันของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา คาดว่าจะมีราคาสูงกว่าโมกามิ 3 เท่า และต้องการลูกเรือมากกว่า 2 เท่า แม้ว่าจะมี VLS มากกว่าโมกามิ 2 เท่า แต่เรื่องของความคุ้มค่านั้นยังเป็นที่กังขา

ทั้งนี้ ในส่วนของราคาเรือรบ Type 055 ของจีนนั้นยากที่จะทราบแน่ชัด เนื่องจากเป็นข้อมุลที่จีนไม่เปิดเผย โดยคาดว่าอยู่ที่ระหว่าง 925 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.2 หมื่นล้านบาท) ถึง 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (9 หมื่นล้านบาท) ต่อลำ

ทั้งเรื่องของศักยภาพและความคุ้ค่าตามที่ระบุข้างต้นได้นำมาสู่คำถามว่า ในเมื่อทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีสนธิสัญญาด้านการป้องกันประเทศร่วมกับสหรัฐฯ แล้วทำไมสหรัฐฯ ไม่ร่วมมือกับพวกเขาเพื่อสร้างกองเรือให้เหนือกว่าจีน

คำตอบคือ สหรัฐฯ มีปัญหาอยู่ นั่นคือ ณ ปัจจุบัน กฎหมายของสหรัฐฯ ห้ามไม่ให้กองทัพเรือซื้อเรือที่สร้างโดยต่างชาติ แม้กระทั่งจากพันธมิตร หรือแม้กระทั่งสร้างเรือของตนเองในต่างประเทศ ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากกังวลด้านความปลอดภัยและต้องการปกป้องอุตสาหกรรมต่อเรือภายในประเทศ

ในปี 2019 กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการต่อเรือของสหรัฐฯ คิดเป็นเกือบ 400,000 ตำแหน่งงาน และมีส่วนสร้าง GDP 4.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.47 ล้านล้านบาท)

สหรัฐฯ มีอู่ต่อเรือ 154 แห่งกระจายอยู่ใน 29 รัฐที่จัดอยู่ในกลุ่มผู้สร้างเรือที่ใช้งานอยู่ และมากกว่า 300 แห่งที่มีส่วนร่วมในการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาเรือซึ่งสามารถสร้างเรือได้

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า อาจถึงเวลาแล้ว ที่สหรัฐฯ จะต้องทบทวนกฎหมายใหม่ เพื่อให้เพิ่มความสามารถในการสู้รบในท้องทะเล

กระนั้น นิก ไชลด์ส เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษานาวิกโยธินของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษาเชิงกลยุทธ์ (IISS) กล่าวว่า เขาไม่คิดว่าคำตอบของปัญหาที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญจะแก้ได้ด้วยการซื้อเรือจากเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่น หรือการสร้างเรือของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ

“ผมคิดว่าคำตอบคือการเรียนรู้จากวิธีที่พวกเขาทำ แทนที่จะให้พวกเขาทำแทนคุณ” เขากล่าว

ถึงกระนั้น ผู้เชี่ยวชาญดูจะไม่แน่ใจในแนวคิดนี้นัก เฮอร์ซิงเกอร์คิดว่า มันถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะต้องทบทวนกฎหมายเสียใหม่

“ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างก็สร้างเรือคุณภาพสูงได้ตรงเวลาและตามงบประมาณ ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ไม่มีความสามารถในการทำ” เฮอร์ซิงเกอร์กล่าว

 

เรียบเรียงจาก CNN

ภาพจาก AFP