โดยที่สหรัฐฯ และยุโรปเป็นชาติพันธมิตรที่คอยสนับสนุนการต่อสู้ต้านทานรัสเซียของยูเครนมาโดยตลอด และเมื่อสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดี ทิศทางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียก็ยิ่งซับซ้อน
ล่าสุด สส.อาวุโสสังกัดพรรครีพับลิกันได้ออกมาเรียกร้องให้ทำเนียบขาวเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งภายหลังสื่อสหรัฐฯ ออกมาระบุว่าคือ แผนพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นสู่อวกาศของรัสเซีย
“ปูติน” เผย สหรัฐฯ ภายใต้ “ไบเดน” ดีกว่าสหรัฐฯ ที่ “ทรัมป์” ปกครอง
“ทรัมป์” ลั่น หากได้เป็นปธน.จะยกเลิกข้อจำกัดอาวุธปืนทั้งหมดของ “ไบเดน”
เมื่อวานนี้ 14 ก.พ.ไมค์ เทอร์เนอร์ สส.สังกัดพรรครีพับลิกัน และประธานคณะกรรมาธิการด้านข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ผ่านบัญชี X หรือทวิตเตอร์ในชื่อเดิม
โดยส่วนหนึ่งของแถลงการณ์เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับ “ภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติร้ายแรง” หรือที่เทอร์เนอร์เรียกในภาษาอังกฤษว่า “serious national security threat” รวมถึงรายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามนี้ เพื่อให้สภาคองเกรส ทำเนียบขาว และพันธมิตรของสหรัฐฯ หารือได้อย่างตรงไปตรงมา
ทั้งนี้ แถลงการณ์ของประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองไม่ได้ระบุอย่างเจาะจงว่า “ภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติร้ายแรง” หมายถึงภัยรูปแบบใด
ภายหลัง สำนักข่าว ABC News ของสหรัฐฯ ได้ออกมาระบุโดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยตัวตนสองรายว่า ภัยคุกคามนี้ก็คือ แผนพัฒนาดาวเทียมติดอาวุธนิวเคลียร์เพื่อส่งขึ้นสู่อวกาศของรัสเซียโดยมีเป้าหมายเพื่อโจมตีดาวเทียมอื่นๆ ไม่ใช่โจมตีมายังโลก
อดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งเปิดเผยต่อหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ว่า ดาวเทียมติดอาวุธนิวเคลียร์อาจใช้เพื่อทำลายเครือข่ายดาวเทียมของสหรัฐฯ ซึ่งหากรัสเซียพัฒนาสำเร็จ ส่งขึ้นสู่อวกาศ และทำการโจมตีได้จริง นี่อาจส่งผลกระทบต่อเครือข่ายสื่อสารของพลเรือน ระบบสอดแนม รวมถึงการสั่งการทางทหารของสหรัฐฯ และพันธมิตร โดยที่สหรัฐฯ ยังไม่มีอาวุธที่สามารถใช้ในการป้องกันได้
นี่หมายความว่า มีโอกาสที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียจะยกระดับขึ้นไปอีกในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น การส่งอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นสู่อวกาศยังละเมิดสนธิสัญญาว่าด้วยการใช้อวกาศอย่างสันติปี 1967 หรือ Outer Space Treaty ซึ่งรัสเซียเป็นภาคีอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าแผนของรัสเซียจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่หรือสมเหตุสมผลในทางปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน
แต่การออกมาแถลงเรียกร้องให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามความมั่นคง ได้สร้างความฮือฮาในสภาคองเกรส ขณะเดียวกันก็สร้างความขุ่นเขืองให้แก่ทำเนียบขาว
โดย เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯได้ออกมาระบุระหว่างการตอบคำถามต่อสื่อมวลชนว่า เขารู้สึกประหลาดใจที่ ไมค์ เทอร์เนอร์ ออกมาแถลงต่อสาธารณะ ทั้งๆ ที่สมาชิกสภาผู้แทนระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความมั่นคงพิเศษที่เป็นความลับ มีกำหนดประชุมร่วมกับเขาและเจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรองและด้านกลาโหมของทำเนียบขาวอยู่แล้วในวันนี้
อย่างไรก็ดี ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการประชุมที่กำลังจะมีขึ้น และปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับภัยคุกคามความมั่นคงดังกล่าว
คำถามคือ อะไรคือสาเหตุที่ สส.อาวุโสรายนี้ออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีไบเดน เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับภัยความมั่นคงที่อาจมาจากรัสเซีย และทำไมต้องออกมาในช่วงเวลาเช่นนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจเป็นความพยายามสร้างแรงกดดันต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ให้ยอมพิจารณาร่างงบประมาณช่วยเหลือยูเครนและชาติพันธมิตรมูลค่ารวม 9.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่วุฒิสภาสหรัฐฯ เพิ่งลงมติผ่านร่างไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ซึ่งขณะนี้ พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ และส่วนมากของ สส. รีพับลิกัน รวมถึงไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรที่มีจุดยืนโน้มเอียงไปทางขวาอนุรักษ์นิยมแบบโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะคัดค้านร่างความช่วยเหลือยูเครนฉบับดังกล่าว หรือกระทั่งอาจจะไม่นำร่างเข้าสู่วาระพิจารณาของสภา
ขณะที่ ไมค์ เทอร์เนอร์ เป็นหนึ่งใน สส. สังกัดพรรครีพับลิกันสายดั้งเดิมที่สนับสนุนยูเครนในการต้านทานรัสเซียมาตลอด
อย่างไรก็ดี ขณะนี้หลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีไบเดนเอง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของชาติพันธมิตรยูเครน เช่น โปแลนด์ เอสโตเนีย รวมถึงเลขาธิการนาโต ก็ได้ออกมากดดันและเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เร่งอนุมัติร่างความช่วยเหลือยูเครนโดยเร็วที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ที่ยูเครนกำลังเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากจากการขาดแคลนกระสุนที่ใช้ในการปกป้องพื้นที่และต้านทานการบุกโจมตีของรัสเซียบริเวณแนวรบ
ความผันผวนและไม่แน่นอนของการเมืองภายสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในหลายจุดของโลก เป็นผลมาจากที่สหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่ฤดูการหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้แล้ว
แต่จุดหนึ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ ยูเครนและยุโรป เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีโอกาสสูงที่จะท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับโจ ไบเดน มีนโยบายที่สวนทางกับรัฐบาลพรรคเดโมแครตอย่างสิ้นเชิงและอาจสร้างความได้เปรียบให้แก่รัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ประธานาธิบดีรัสเซียได้ออกมาเปิดเผยผ่านการสัมภาษณ์ว่า การที่โจ ไบเดน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเป็นผลดีต่อรัสเซียมากกว่า
วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียได้ให้สัมภาษณ์ต่อพาเวล ซารูบิน นักข่าวสายโปรรัสเซีย อย่างไรก็ดี ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจจากการสัมภาษณ์คือ นักข่าวรายนี้ได้ถามประธานาธิบดีปูตินว่า ระหว่างไบเดนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับทรัมป์เป็นประธานาธิบดี แบบไหนจะเป็นผลดีต่อรัสเซียมากกว่ากัน
ประธานาธิบดีรัสเซีย เลือกตอบว่า ไบเดน เนื่องจากมีประสบการณ์มากกว่า และคาดการณ์ท่าทีได้ง่ายกว่าทรัมป์ ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีรัสเซียระบุว่า เขาจะทำงานร่วมกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ว่าจะใครก็ตามที่ประชาชนสหรัฐฯ มอบความไว้วางใจให้
นี่เป็นคำตอบที่สร้างความประหลาดใจให้แก่หลายฝ่าย เนื่องจากที่ผ่านมามีการประเมินว่าจุดยืนของทรัมป์น่า จะสร้างความได้เปรียบให้แก่รัสเซียมากกว่าในสงครามยูเครน โดยทรัมป์มีแนวโน้มที่จะไม่สนับสนุนการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และความช่วยเหลืออื่นๆ ให้แก่ยูเครน
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ยังออกมาระบุด้วยว่าจะส่งเสริมให้รัสเซียบุกโจมตีชาติสมาชิกนาโตที่ไม่สามารถเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมได้ตามเป้าหมายที่ตกลงร่วมกันไว้ นั่นคือต้องเกินร้อยละ 2 ของ GDP
เมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ทรัมป์ได้ออกมาเน้นยน้ำจุดยืนอีกครั้งระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งขั้นต้น โดยเตือนชาติสมาชิกนาโตว่า สหรัฐฯ จะไม่ปกป้อง หากไม่สามารถจ่ายงบประมาณทางการทหารได้ ซึ่งหากทรัมป์ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สองในช่วงปลายปีนี้
และไม่ปกป้องชาติสมาชิกนาโตในกรณีที่เกิดการโจมตีภายในพรมแดนนาโต จะถือเป็นการบั่นทอนระบบประกันความมั่นคงร่วมภายใต้มาตราที่ 5 ของกฎบัตรนาโต ที่ระบุว่า หากประเทศสมาชิกนาโตประเทศใดประเทศหนึ่งถูกโจมตี ประเทศสมาชิกที่เหลือมีพันธะหน้าที่ที่จะต้องร่วมกันปกป้องและป้องกันประเทศสมาชิกที่ถูกโจมตีร่วมกัน
หลังจากทรัมป์ ออกมาขู่ชาตินาโตที่จ่ายงบประมาณด้านกลาโหมไม่ถึงเป้า เมื่อวานนี้ เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต ก็ได้ออกมาตอบโต้ทรัมป์อีกครั้ง โดยระบุว่า การบั่นทอนระบบประกันความมั่นคงร่วม ไม่ใช่สิ่งที่ชาติสมาชิกนาโตพึงกระทำ
นอกจากนี้ เลขาธิการนาโตยังเปิดเผยอีกด้วยว่า ภายในปี 2024 จะมีชาติสมาชิกนาโตที่เพิ่มสัดส่วนงบประมาณด้านกลาโหมให้ถึงร้อยละ 2 ของ GDP เพิ่มเป็น 18 ชาติจาก 11 ชาติในปีที่แล้ว 11 ชาติที่มีสัดส่วนงบประมาณด้านการทหารเกินเป้าหมายดังกล่าวไปแล้ว ได้แก่ โปแลนด์ สหรัฐฯ กรีซ เอสโตเนีย ลิทัวเนีย ฟินแลนด์ โรมาเนีย ฮังการี ลัตเวีย สหราชอาณาจักร และสโลวาเกีย
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการนาโตไม่ได้เปิดเผยว่า อีก 7 ชาติที่ใกล้จะเพิ่มงบประมาณได้ตามเป้าหมายในปีนี้มีชาติใดบ้าง แต่ล่าสุดสองชาติที่ออกมาระบุว่าเพิ่มสัดส่วนงบจนแตะเป้าหมายแล้วคือฝรั่งเศสและเยอรมนี
ทั้งนี้ การออกมาตอบโต้ของเลขาธิการนาโตเกิดขึ้นก่อนการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมนาโตจะเริ่มต้นขึ้นในวันนี้ ซึ่งขณะนี้ได้เปิดฉากการประชุมไปแล้วที่สำนักงานใหญ่นาโตในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ส่วนหนึ่งวาระของการประชุมครั้งนี้ คือ เพื่อหารือเกี่ยวกับการยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมผลิตอาวุธและการสนับสนุนยูเครน
เช็กสถิติหวยออกย้อนหลัง 15 ปี งวดประจำวันที่ 16 กุมภาพันธ์
กทม.เตือนฝุ่น PM 2.5 เช้านี้ ทะลุระดับสีแดง 17 เขต!
งานนี้พระจะไม่ยุ่ง! ไม่ขอเป็นพยานให้ป้าฮุบบ้านปมคดีครอบครองปรปักษ์