คืนวันที่ 10 พ.ค. 67 ตามเวลาประเทศไทย สมัชชาสหประชาชาติ หรือ UNGA ลงมติสนับสนุนความพยายามของปาเลสไตน์ในการเป็นสมาชิกของสหประชาชาติอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยคะแนนสนับสนุนท่วมท้น 143 เสียง ซึ่งมีไทยรวมอยู่ด้วย ขณะที่มี 9 ชาติสมาชิกโหวตค้าน รวมถึงสหรัฐฯ และอิสราเอล ขณะที่ 25 รัฐสมาชิกงดออกเสียง
มติดังกล่าว ถูกเสนอเข้าที่ประชุมโดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระบุว่า "รัฐปาเลสไตน์" มีคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกของสหประชาชาติภายใต้กฎบัตรของยูเอ็น
และแนะนำให้คณะมนตรีความมั่นคง หรือ UNSC พิจารณาประเด็นนี้ด้วยการสนับสนุนให้ปาเลสไตน์เป็นสมาชิกยูเอ็นเต็มรูปแบบ
มตินี้ของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ไม่ได้หมายความว่า ปาเลสไตน์จะได้รับการรับรองให้เป็นสมาชิกยูเอ็นอย่างเต็มรูปแบบในเร็ว ๆ นี้ เพราะการให้สถานะสมาชิกเต็มรูปแบบ จะต้องได้รับการอนุมัติจากสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งมีสมาชิกอยู่ 15 ประเทศก่อน โดยใน UNSC มีสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในชาติสมาชิกถาวรและมีอำนาจวีโตคัดค้าน
และจากประวัติศาสตร์ก็ค่อนข้างชัดเจนว่า สหรัฐฯ น่าจะใช้สิทธิวีโตตีตกมตินี้ โดยไม่ยอมรับให้ปาเลสไตน์เป็นสมาชิกยูเอ็นเต็มรูปแบบ เหมือนที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่สหรัฐฯ ใช้สิทธิวีโตยับยั้งคณะมนตรีความมั่นคงในการรับรองปาเลสไตน์เป็นสมาชิกสหประชาชาติเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม การลงมติสนับสนุนปาเลสไตน์ของสมัชชาใหญ่ครั้งนี้ เป็นความเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญท่ามกลางสงครามในกาซาที่วิกฤตมากขึ้นทุกที เพราะมตินี้ จะให้สิทธิทางการทูตใหม่แก่ผู้แทนของปาเลสไตน์
โดยจะสามารถนั่งในที่ประชุมชาติสมาชิกยูเอ็นโดยเรียงตามลำดับอักษร สามารถขึ้นอภิปรายในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ต่อประเด็นต่างๆ นอกเหนือจากประเด็นเกี่ยวกับปาเลสไตน์ ผู้แทนปาเลสไตน์สามารถส่งข้อเสนอและการแก้ไขต่างๆ เข้าที่ประชุมสมัชชาใหญ่ เข้าร่วมการประชุมของยูเอ็นและการประชุมนานาชาติที่จัดโดยสมัชชาใหญ่และหน่วยงานต่างๆ ของยูเอ็นได้ แต่ไม่ให้สิทธิ์ลงมติในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
ปัจจุบัน ปาเลสไตน์อยู่ในสถานะรัฐผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ใช่สมาชิกยูเอ็น โดยได้รับสถานะนี้เมื่อปี 2012 ผู้แทนจากปาเลสไตน์ไม่มีสิทธิในการลงมติ หรือเสนอชื่อแคนดิเดตให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ของยูเอ็น
มติของสมัชชาสหประชาชาติ ยังถูกมองว่าเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า ประชาคมโลกยืนเคียงข้างปาเลสไตน์ และโดดเดี่ยวอิสราเอลมากขึ้น ในวันที่สงครามในกาซาคร่าชีวิตพลเรือนชาวปาเลสไตน์ไปแล้วกว่า 34,000 คน และอิสราเอลยังแสดงความมุ่งมั่นที่จะเปิดฉากบุกเมืองราฟาห์ ที่ลี้ภัยสุดท้ายของพลเรือนในฉนวนกาซาอย่างเต็มรูปแบบในเร็ววันนี้ โดยไม่สนเสียงทัดทานจากประชาคมโลก รวมถึงสหรัฐฯ ที่เป็นพันธมิตรหลัก
และแน่นอนว่ามตินี้ สร้างความไม่พอใจให้กับอิสราเอลอย่างมาก ทำให้ "กิลาด เออร์ดาน" (Gilad Erdan) ผู้แทนถาวรอิสราเอลประจำสหประชาชาติ ประณามมตินี้ และสมาชิกที่โหวตสนับสนุนว่า เท่ากับเป็นการทำลายหลักการในกฎบัตรสหประชาชาติ
โดยขณะแถลงบนโพเดียม ผู้แทนอิสราเอลได้ถือเครื่องทำลายเอกสารขนาดเล็กขึ้นไปด้วย ก่อนนำเอกสารสำเนากฎบัตรสหประชาชาติใส่ลงไปในเครื่องทำลายเอกสารดังกล่าว เป็นการแสดงออกเพื่อประท้วง
ขณะที่ "โรเบิร์ต เอ วู้ด" ผู้แทนถาวรสหรัฐฯ ประจำยูเอ็น ให้เหตุผลการโหวตค้านมติว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีจุดยืนชัดเจนว่าสนับสนุนสันติภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาคดังกล่าวผ่านแนวทาง 2 รัฐ หรือ Two-State Solution โดยมองว่ามาตรการฝ่ายเดียวของสหประชาชาติจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ แต่เชื่อว่าต้องทำผ่านกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาโดยตรงระหว่างคู่ขัดแย้งเท่านั้น
ท่าทีของประชาคมโลก ตลอดจนการประท้วงต่อต้านสงครามกาซา และแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับชาวปาเลสไตน์ภายในสหรัฐฯ ตามที่ได้เห็นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตอกย้ำให้เห็นว่า สงครามอิสราเอล-ฮามาส ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ พันธมิตรหลักของอิสราเอลตกอยู่ในสถานะที่ไม่ง่ายว่าจะวางตัวอย่างไร จะสนับสนุนอิสราเอลอย่างเต็มที่ต่อไปแค่ไหน
- คอนเทนต์พิเศษ
สำหรับคุณ - TOP ต่างประเทศ
- วิดีโอยอดนิยม
