ในระหว่างการเยือน American Museum of Natural History ที่นครนิวยอร์กของสหรัฐฯ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาติ หรือยูเอ็น ได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล เลิกทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงหลอกลวงสาธารณชน ตลอดจนตั้งคำถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ใช้เงินเพียงร้อยละ 2.5 ของรายจ่ายทั้งหมดในการดำเนินด้านพลังงานสะอาด
นอกจากนี้ เลขาฯ ยูเอ็น ยังได้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันการเงิน ตลอดจนบริษัทสื่อ และฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่สนับสนุนโฆษณาของอุตสาหกรรมเหล่านี้ พร้อมทั้งขอให้สถาบันการเงิน และบริษัทเหล่านี้ยุติการทำตัวเป็นผู้กระตุ้นให้เกิดการทำลายโลก ด้วยการหยุดรับลูกค้าที่เป็นบริษัทที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหม่ตั้งแต่วันนี้ รวมถึงวางแผนลดลูกค้าปัจจุบันที่อยู่ในอุตสาหกรรมด้วย
ทั้งนี้ การเรียกร้องของเลขาธิการยูเอ็นในวันสิ่งแวดล้อมโลก เกิดขึ้นขณะที่บริษัทน้ำมัน และก๊าซรายใหญ่ กำลังเผชิญกับข้อเรียกร้องของบรรดาผู้ถือหุ้นและนักเคลื่อนไหว ที่เรียกร้องให้บริษัทดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้น
โดยอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เรียกร้องให้ธนาคาร และนักลงทุนยุติการสนับสนุนโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิล และนำเสนอแผนต่อสาธารณะเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ รวมถึงให้รายละเอียดเกี่ยวกับแผนในการเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาด โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในปี 2025 และ 2030
เลขาฯ ยูเอ็นย้ำว่า ในอีก 18 เดือนข้างหน้า ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปกป้องผู้คน และธรรมชาติจากสภาพอากาศสุดขั้ว รวมถึงการส่งเสริมด้านการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และควบคุมอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลขณะเดียวกัน เลขาฯ ยูเอ็นยังได้ย้ำว่า ถึงเวลาที่ต้องมีการกำหนดราคาคาร์บอน ซึ่งเป็นวิธีการของรัฐบาลในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีประสิทธิภาพ และเก็บภาษีกำไรของบริษัทที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อปูทางไปสู่พลังงานสะอาด
นอกจากนี้ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลต่างๆ ยุติการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณที่แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีที่แล้ว โดยมีมูลค่ารวมกันทั่วโลกกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2.5 แสนล้านบาท
เนื่องจากเงินจำนวนดังกล่าว สามารถนำมาช่วยในการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานสะอาด หรือเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้วได้
ก่อนที่เลขาธิการยูเอ็นจะเรียกร้องให้นานาชาติดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่เรียกว่า นรกแห่งสภาพอากาศ เพราะที่ผ่านมา โลกได้พยายามบอกอะไรบางอย่างกับมนุษย์ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครรับฟัง
ในวันเดียวกัน องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศออกมา รายงานดังกล่าวระบุว่า อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยได้ร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
โดยมีปรากฏการณ์เอลนีโญเป็นหนึ่งในปัจจัยผลักดันที่ทำให้อุณหภูมิดีดตัวเพิ่มสูงขึ้นด้วยอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ทำให้รองเลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก คาดการณ์ว่า ตอนนี้มีโอกาสร้อยละ 80 ที่อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยในช่วงปี 2024 -2028 หรือในช่วง 5 ปีจากนี้ อาจเกิน1.5 องศาเซลเซียสเป็นการชั่วคราว และมีความเป็นไปได้ที่หลังจากนี้ โลกจะเผชิญกับอากาศร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์แซงหน้าสถิติในปี 2023 ที่ผ่านมา
ด้าน Copernicus Climate Change Service (C3S) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านสภาพอากาศของสภาพยุโรป ก็ได้เปิดเผยรายงานอุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงจนทำลายสถิติเช่นเดียวกัน รายงานดังกล่าวระบุว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มบันทึกสถิติเมื่อปี 1940 โดยอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 1.63 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนอุตสาหกรรม
คาร์โล บูออนเตมโป ผู้อำนวยการหน่วยงานด้านสภาพอากาศของยุโรป ระบุว่า ภาวะร้อนสุดขั้วที่เกิดขึ้น สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศที่ระบุว่า การเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ จะทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป และมีแนวโน้มว่าโลกจะร้อนขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ในวันที่รายงานของหน่วยงานต่างๆระดับโลกเปิดเผยถึงความน่ากังวลเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน มีรายงานว่าที่สหรัฐอเมริกาเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรง ก่อนถึงฤดูร้อนซึ่งควรจะมาถึงในช่วงกลางเดือนนี้
พื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ เผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว สภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ทั้งผู้คนและสัตว์ต้องหาวิธีคลายร้อนหนึ่งในเจ้าของสุนัข ได้พยายามฝ่าแสงแดดและอุณหภูมิที่ร้อนระอุ พาสัตว์เลี้ยงไปที่สวนสาธารณะ ซึ่งที่นั่นมีผู้คนรวมตัวกันใต้ร่มเงาของต้นไม้ เพื่อหลบแสงอาทิตย์
ในวันเดียวกัน ที่เมืองฟินิกซ์ของรัฐแอริโซนา ก็เผชิญกับอุณหภูมิพุ่งสูงจนเกือบแตะ 43 องศาเซลเซียส ทำให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บรรเทาความร้อนในเมือง ต้องจัดหาน้ำดื่มและให้สถานที่พักพิงคลายร้อนกับผู้คน โดยเฉพาะคนไร้บ้าน ที่เริ่มรู้สึกถึงผลกระทบต่อร่างกาย
ชายรายนี้ต้องเข้าไปพบแพทย์ที่คลินิกเคลื่อนที่ เนื่องจากเผชิญกับความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด อัตราการเต้นของหัวใจของเขาอยู่ที่ 120 ความดันโลหิตสูงประมาณ 140 ซึ่งเกินกว่าค่าเฉลี่ยปกติไปมาก ชายไร้บ้านคนนี้บอกว่า อากาศที่นี่ร้อนมากจนแทบทนไม่ได้
ตอนนี้ การคาดการณ์ในปี 2024 ชี้ว่า เมืองฟินิกซ์จะเผชิญกับฤดูร้อนที่รุนแรง และอาจเผชิญอุณหภูมิสูงกว่า 43 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 31 วันติดต่อกัน ซึ่งทุบสถิติสูงสุดก่อนหน้าที่บันทึกไว้ในเดือนมิถุนายน ปี 1974 ที่เมืองมีอุณหภูมิสูงแตะระดับนี้ต่อเนื่องกัน 18 วัน
โดยเมื่อวานนี้ 5 มิ.ย. มีรายงานว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองแห่งนี้ ตกอยู่ภายใต้คำเตือนความร้อนกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากอากาศที่ร้อนรุนแรงระดับ 3 จากทั้งหมด 4 ระดับนี่หมายความว่า ความร้อนจะเป็นอันตรายสำหรับทุกคน และมีโอกาสสูงที่ประชาชนจะเผชิญกับอาการป่วยจากความร้อนที่อาจเป็นภัยคุกคามจนถึงแก่ชีวิตได้ สถิติเมื่อปีที่แล้วชี้ว่า ที่เมืองแห่งนี้มีผู้เสียชีวิตจากความร้อนรุนแรงรวม 645 ราย เพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งจากจำนวนผู้เสียชีวิตปี 2022
ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของสหรัฐฯ รายงานว่า ในหลายรัฐของสหรัฐฯ จะเผชิญกับอุณหภูมิในตอนกลางวันสูงผิดปกติไปจนถึงวันศุกร์ และคาดว่าอุณหภูมิจะสูงถึง 37.8 องศาเซลเซียส นี่จึงทำให้หน่วยงานดังกล่าวออกคำเตือนด้านสภาพอากาศจัดในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบตลอดสัปดาห์นี้ โดยชาวอเมริกันหลายล้านคนตั้งแต่ชายฝั่งอ่าวเท็กซัสไปจนถึงบริเวณอ่าวซานฟรานซิสโกของรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้รับคำเตือนให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ในช่วงที่คลื่นความร้อนครั้งใหญ่กำลังจะมาถึงก่อนช่วงฤดูร้อนด้วย
นักพยากรณ์อากาศคาดการณ์ว่า ปัจจัยที่ทำให้หลายพื้นที่ในสหรัฐฯ เผชิญกับอากาศร้อนจัดมากกว่า 2 สัปดาห์ และมีอากาศร้อนจัด แม้จะยังไม่ถึงฤดูร้อนอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มิ.ย. นี้ มีสาเหตุมาจากแนวความกดอากาศสูงที่ปกคลุมบริเวณนี้ กำลังทวีความรุนแรงขึ้น
"โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ" ไม่เปิดเผยค่าลิขสิทธิ์บอลยูโร 2024 ย้ำ PPTV ถ่ายทอดสด
แบรนด์ดังแจง ปม อย.ตรวจพบสาร "ไซบูทรามีน" ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม