เมื่อวันที่ 26 ก.ค. เออร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (อียู) ได้ทวีตข้อความผ่าน X ว่า สหภาพยุโรปได้โอนเงินจำนวน 1.5 พันล้านยูโร (ราว 5.8 หมื่นล้านบาท) ที่ได้มาจากทรัพย์สินของธนาคารกลางรัสเซียที่ถูกแช่แข็งให้กับยูเครน โดยเงินจำนวนดังกล่าวจะให้ยูเครนนำไปใช้ในการป้องกัน และฟื้นฟูประเทศ พร้อมย้ำว่า ณ เวลานี้ไม่มีการแสดงสัญลักษณ์อะไรที่ดีกว่าการใช้เงินของรัสเซียในการทำให้ยูเครน และทั่วทั้งยุโรปเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยในการอยู่อาศัย
ขณะที่ เดนิส ชมีฮาล นายกรัฐมนตรียูเครน ออกมากล่าวขอบคุณสหภาพยุโรป และประธานคณะกรรมาธิการยุโรป สำหรับความมุ่งมั่นในการสนับสนุนอย่างแน่วแน่ในการป้องกัน และฟื้นฟูประเทศยูเครน พร้อมย้ำว่า ยูเครนและยุโรปกำลังร่วมมือกันในการเปลี่ยนจากความทุกข์ยาก ให้กลายเป็นความเข้มแข็ง และสร้างยุโรปให้กลายเป็นดินแดนที่ปลอดภัย และยืดหยุ่นมากขึ้น
ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปกำลังหารือเกี่ยวกับทางเลือกการขยายระยะเวลาการต่ออายุการคว่ำบาตรทรัพย์สินของธนาคารกลางรัสเซียเพื่อนำมาเป็นประกันเงินกู้จากกลุ่ม G7 ให้กับยูเครน
ก่อนหน้านี้ชาติตะวันตกได้บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ต่อรัสเซีย และปิดกั้นการเข้าถึงทรัพย์สินต่าง ๆ ของรัสเซียมูลค่าเกือบ 3 แสนล้านยูโร (11.7 ล้านล้านบาท) นับตั้งแต่รัสเซียได้ส่งทหารเข้าไปรุกรานยูเครนเมื่อปี 2022
ขณะที่เมื่อเดือนที่แล้ว กลุ่มประเทศ G7 และสหภาพยุโรปตกลงที่จะใช้ดอกเบี้ยที่ได้รับจากทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกแช่แข่งในประเทศเหล่านี้เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการมอบการสนับสนุนเงินกู้เกือบ 5 หมื่นล้านยูโร (1.9 ล้านล้านบาท) ให้กับยูเครน เพื่อช่วยป้องกันประเทศจากการรุกรานของรัสเซีย ขณะที่รัสเซียได้ออกมาให้คำมั่นสัญญาว่าจะดำเนินการทางกฎต่อการกระทำดังกล่าว