กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินของรัสเซียประกาศสภาวะฉุกเฉินระดับรัฐบาลกลางในภูมิภาคเคิร์สก์ ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ หลังจากยังไม่สามารถยุติการบุกจู่โจมของกองกำลังยูเครน ที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานติดต่อกันถึง 4 วันแล้ว นับตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา โดยจนถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วไม่น้อยกว่า 14 คน บาดเจ็บอีก 44 คน
นาย อเล็กเซ สเมียร์นอฟ (Alexei Smirnov) รักษาการผู้ว่าการภูมิภาคเคิร์สก์ เปิดเผยว่าการทำงานในพื้นที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก
โดยหน่วยงานด้านประชาสังคมยังคงเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตนเองเพื่อหลบหนีการสู้รบ ซึ่งขณะนี้พบว่ามีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 3,000 คน
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับรัฐบาลกลางของรัสเซียจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนเกิน 500 คน หรือเกิดความเสียหายเกิน 500 ล้านรูเบิล หรือประมาณ 200 ล้านบาท
ขณะที่สถาบันศึกษาสงครามในกรุงวอชิงตัน ดีซี ของสหรัฐฯ ประเมินว่าหน่วยติดอาวุธของยูเครนสามารถรุกคืบเข้าสู่พื้นที่ภายในภูมิภาคเคิร์สก์ได้อย่างรวดเร็ว โดยตลอด 4 วันที่ผ่านมาสามารถเคลื่อนกำลังได้เป็นระยะทางรวม 35 กิโลเมตร
ส่วนเป้าหมายของยูเครนในการเปิดฉากปฏิบัติการจู่โจมข้ามพรมแดนครั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผย แต่ นาย มิไคโล โพลโดลยัก ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครน ระบุว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้รัสเซียรู้สึกว่าสงครามได้เริ่มลุกลามเข้าสู่ดินแดนของตัวเองอย่างช้าๆ และจะช่วยให้ยูเครนมีอำนาจต่อรองมากขึ้นหากต้องต่อรองกับรัฐบาลรัสเซีย
นอกจากภูมิภาคเคิร์สก์แล้ว เมื่อช่วงรุ่งสางของวันศุกร์ที่ผ่านมา ยังเกิดเหตุฝูงโดรนโจมตีภูมิภาคลิเปสตก์ (Lipetsk) ทางภาคตะวันตกของรัสเซีย ทำให้ทางการต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และอพยพประชาชนใน 4 หมู่บ้าน
ทางการท้องถิ่นเปิดเผยว่าโดรนเหล่านี้ได้พุ่งโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและทำให้ระบบจ่ายไฟฟ้าขัดข้อง รวมทั้งพบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 คน ขณะที่สื่อยูเครนรายงานว่าสถานที่ถูกโจมตีมีสนามบินมหารรวมอยู่่้ด้วย และมีระเบิด 700 ลูกทำลาย
ส่วนสถานการณ์ในยูเครน เมื่อวานนี้ 9 ส.ค. กระสุนปืนใหญ่ของกองทัพรัสเซียได้ตกใส่ซูเปอร์มาร์เกตแห่งหนึ่งในเมืองคอสแตนตินิฟกา (Kostiantynivka) โดยกระทรวงมหาดไทยยูเครนรายงานว่าเหตุการณืนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน และบาเจ็บ 35 คน