ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้อนาคตของสงครามรัสเซีย-ยูเครนตกอยู่ในความไม่แน่นอน
โดยทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านดอลลาร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการให้ความช่วยเหลือทางการทหารและการเงินแก่ยูเครน เพื่อทำสงครามกับรัสเซีย และให้คำมั่นว่าจะยุติความขัดแย้งดังกล่าวก่อนที่เขาจะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในเดือน ม.ค.ปีหน้า แม้ว่าจะไม่ได้บอกวิธีการว่าจะทำอย่างไร
ย้อนกลับไปฟังคำพูดของทรัมป์กันอีกครั้ง ซึ่งทรัมป์ได้พูดไว้ตอนที่ยังเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันระหว่างพบกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ที่นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 27 ก.ย.
โดยเขาบอกว่า “เรามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก และผมเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับประธานาธิบดีปูตินเช่นกัน ถ้าเราชนะ ผมคิดว่าเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างรวดเร็ว…”
“...เราจะนั่งลงและหารือกัน และถ้าเราชนะ ผมคิดว่าก่อนวันที่ 20 ม.ค. ก่อนที่ผมจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี วันที่ 20 ม.ค. แต่ก่อนหน้านั้น ผมคิดว่าเราจะสามารถหาทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่ายได้ มันถึงเวลาแล้ว...”
อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้ นักวิเคราะห์การเมืองชาวยูเครน โวโลดิเมียร์ เฟเซนโก (Volodymyr Fesenko) บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ทรัมป์น่าจะผลักดันให้เกิดการเจรจาอย่างรวดเร็วเพื่อยุติสงคราม เพราะทรัมป์ต้องการผลลัพธ์เร็วๆ และเขาเชื่อว่าทรัมป์ไม่น่าจะยอมรับเงื่อนไขของรัสเซียเพียงฝ่ายเดียว
เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024: เชื่อ “ทรัมป์” เปิดทางอิสราเอลทำสงครามอิหร่าน
"รถถัง" เผยไปเตะบอลไม่เกี่ยวทำตกตาชั่ง เสียแชมป์โลก
สรุปเหตุการณ์ "รถถัง" เสียแชมป์โลก เพราะตกตาชั่ง
“มีความเสี่ยงบางประการที่เกี่ยวข้องกับทรัมป์ หลักๆ มีอยู่สองประการ ประการแรกคือทรัมป์อาจเริ่มต้นการเจรจาเพื่อยุติสงคราม เขาต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และมีความความเสี่ยงที่อาจมีการยอมอะไรบางอย่างให้รัสเซีย แต่ผมไม่คิดว่าทรัมป์จะยอมรับสันติภาพบนเงื่อนไขของรัสเซียเพียงฝ่ายเดียว เพราะนั่นจะดูเหมือนเป็นความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯ ซึ่งที่ปรึกษาของเขา รวมถึงตัวเขาเองก็น่าจะเข้าใจในข้อนี้”
อย่างไรก็ตามยูเครนเสียดินแดนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังกองกำลังรัสเซีย ซึ่งมีจำนวนมากกว่าและอาวุธพร้อมกว่า รุกคืบในหลายจุดสำคัญของแนวรบทางภาคตะวันออก
การเจรจาสันติภาพไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้วนับตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของสงคราม ขณะที่ปัจจุบัน กองกำลังรัสเซียได้ยึดครองดินแดนของยูเครนแล้วราว 1 ใน 5 ซึ่งรัสเซียระบุว่า สงครามจะไม่มีทางจบจนกว่าการผนวกดินแดนจะได้รับการยอมรับ ส่วนยูเครนเองก็ต้องการให้รัสเซียคืนดินแดนทั้งหมดที่ยึดครองไว้
ขณะเดียวกัน เฟเซนโกคาดว่า ความช่วยเหลือที่สหรัฐฯ จะมอบให้ยูเครนน่าจะเปลี่ยนจากการให้เปล่าเป็นบางอย่างที่คล้ายกับเงินกู้มากกว่า ภายใต้รัฐบาลของทรัมป์
“ทรัมป์เสนอไอเดียนี้ และสมาชิกพรรครีพบลิกันก็สนับสนุน นั่นก็คือความช่วยเหลือทางการทหารที่ให้ยูเครนจะอยู่ในรูปแบบของเงินกู้ หรือการเช่าที่ เท่ากับว่ายูเครนจะเป็นหนี้ ซึ่งเราต้องจ่ายคืนภายหลัง แม้จะได้เงื่อนไขพิเศษ แต่ก็ยังเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นมาและเป็นปัญหาในอนาคต แต่นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เพราะมันยังดีกว่าความช่วยเหลือหายไปเลย แต่มีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ จะหยุดให้ความช่วยเหลือทางการเงินเป็นจำนวนมากแก่ยูเครน”
เฟเซนโกยังกล่าวถึงความรู้สึกของชาวยูเครนว่า แม้จะมีแรงกดดันมาจากสหรัฐฯ ให้เริ่มการเจรจายุติสงคราม ชาวยูเครนก็จะยังมีความเห็นแตกต่างกันตราบใดที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย และจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
ซึ่งหากเซเลนสกีเป็นฝ่ายริเริ่มการเจรจาเอง เซเลนสกีจะตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์ แต่การที่สหรัฐฯ เป็นฝ่ายริเริ่ม ก็อาจทำให้เซเลนสกีใช้เป็นข้ออ้างได้ว่า “ยูเครนยังต้องการชัยชนะ แต่ทรัมป์ยืนยันว่าต้องเริ่มการเจรจา ไม่เช่นนั้นยูเครนจะไม่ได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐฯ”
ทีนี้ไปลองฟังคนที่อยู่ใกล้ชิดสงครามอย่างทหารยูเครนกันบ้างว่าพวกเขามีความคิดเห็นอย่างไรกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อยูเครน หลังจากทรัมป์เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้กลับมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งทหารยูเครนบางคนแสดงการสนับสนุนทรัมป์ โดยหวังว่าทรัมป์อาจทำให้สงครามในยูเครนยุติลง ขณะที่บางคนบอกว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่จะไม่ทำอะไรให้ดีขึ้น
“ผมคิดว่าทรัมป์เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เขาเข้มแข็งกว่าแฮร์ริส ผมคิดว่าเราจะได้เห็นเร็วๆ นี้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผมคิดว่าสงครามในยูเครนน่าจะจบลงได้เร็วเพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับทรัมป์ ถ้าแฮร์ริสเป็นประธานาธิบดี ผมคิดว่าสงครามจะยังคงดำเนินต่อไป เพราะพวกเขาจะยังคงสนับสนุนเราและจัดหาอาวุธให้เรา พวกเขาจะจัดหาเครื่องมือให้เราต่อสู้ในสงครามและไม่หยุดมัน"
ส่วนทหารบางคนบอกว่า “บอกตามตรง ผมไม่รู้เพราะผมไม่ได้ตามการเมือง ผมคิดว่าสำหรับเรา ทรัมป์น่าจะแย่กว่านิดหน่อย เราจะต้องเสียดินแดน เขาจะพยายามหว่านล้อมให้เรายกดินแดนให้” ขณะที่ทหารบางคนบอกว่า “ชัยชนะของทรัมป์มีความหมายยังไงกับทหารเหรอ ถามความเห็นผมเหรอ ผมคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรดี”
ส่วนประชาชนในกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน หลายคนหวังว่าสหรัฐฯ จะยังให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนต่อไป รวมถึงอยากรู้ว่า ทรัมป์จะยุติสงครามนี้อย่างไร อย่าง อเล็กซี เอียโรคา (Oleksii Iarokha) ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที วัย 41 ปี บอกว่า พวกเขากำลังรอเพียงอย่างเดียว คือหยุดสงคราม เพราะทรัมป์ได้สัญญาไว้ว่าจะหยุดสงครามภายในหนึ่งวัน
ขณะที่ มารีนา ทูนิก (Maryna Tunyk) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร วัย 40 ปี ระบุว่า การให้ความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ระดับเดิมในรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ ทิศทางของสงครามขึ้นอยู่กับรัฐบาลยูเครนเองและจากความช่วยเหลือจากต่างชาติ
ทั้งนี้ เมื่อคืนวันที่ 6 พ.ย. ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ได้แสดงความยินดีกับทรัมป์ในคลิปวิดีโอแถลง โดยกล่าวว่า วิธีการสร้าง “สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง” ของทรัมป์ ในการจัดการกับปัญหาระดับโลก อาจทำให้ยูเครนเข้าใกล้ “สันติภาพที่เป็นธรรม” มากขึ้น และเฝ้ารอยุคที่สหรัฐฯ จะมีความเข้มแข็งภายใต้การนำที่เด็ดขาดของทรัมป์
นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนยังย้ำว่า ผู้คนต้องการความมั่นใจ อิสรภาพ และชีวิตที่ปกติสุขจากการปราศจากการรุกรานของรัสเซีย รวมถึงการสนับสนุนที่เข้มแข็งจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร
“สำหรับเราในยูเครนและทั่วทั้งยุโรป คำพูดของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 เกี่ยวกับ ‘สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง’ นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง และเมื่อสิ่งนี้กลายเป็นหลักการนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 อเมริกาและทั้งโลกจะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน ที่ตอนนี้มีการกล่าวถึงโรนัลด์ เรแกนบ่อยครั้งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะผู้คนต้องการความมั่นใจ ต้องการเสรีภาพ ต้องการชีวิตที่ปกติ สำหรับเรา สิ่งนี้หมายถึงชีวิตที่ปลอดจากการรุกรานของรัสเซีย แต่มีอเมริกาที่แข็งแกร่ง ยูเครนที่แข็งแกร่ง และพันธมิตรที่เข้มแข็ง เราได้พูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์แล้วในปีนี้ ทั้งทางโทรศัพท์ในเดือนก.ค. และการพบกันในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการหารือที่ดี”
อย่างไรก็ตาม ฤดูหนาวที่กำลังย่างเข้ามา ถือเป็นอุปสรรค์ที่ยากลำบากอีกครั้งหนึ่งของยูเครน ท่ามกลางการรุกรานของรัสเซีย การกลับมาของทรัมป์ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงอนาคตการสนับสนุนของสหรัฐฯ ต่อยูเครน ซึ่งจนถึงตอนนี้เป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอดของยูเครน
แต่ขณะเดียวกัน ก็อาจนำมาซึ่งความพยายามใหม่ในการยุติสงครามซึ่งรวมถึงการเจรจาสันติภาพ ที่ทุกคนกำลังจับตาดูว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร