แถลงการณ์จากกระทรวงต่างประเทศของกาตาร์ เผยว่าได้แจ้งต่อฝ่ายที่เกี่ยวข้องเมื่อ 10 วันก่อน ระหว่างการพูยคุยรอบล่าสุดว่ากาตาร์ จะระงับความพยายามของตนเองในการเป็นตัวกลาง ระหว่างฮามาสกับอิสราเอล หากไม่บรรลุข้อตกลงภายในการเจรจารอบนี้ แต่จะกลับมาทำหน้าที่นี้อีกครั้งเมื่อทั้งสองฝ่าย แสดงให้ถึงเห็นความยินยอมพร้อมใจที่จะพูดคุย
การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก เจ้าหน้าที่อาวุโสสหรัฐฯ ประกาศจะไม่ยอมรับผู้แทนกลุ่มฮามาสในกาตาร์อีกต่อไป โดยกล่าวหากลุ่มฮามาสว่า ปฏิเสธข้อเสนอล่าสุดเพื่อการหยุดยิงในฉนวนกาซา
นอกจากนี้ ทางการกาตาร์ ยังปฏิเสธกระแสข่าวที่อ้างว่ารัฐบาลได้สั่งปิดสำนักงานผู้แทนของกลุ่มฮามาสในกรุงโดฮา เนื่องจากไม่จริงใจกับการเจรจา โดยยืนยันว่ารายงานข่าวดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
สำหรับ กาตาร์ ได้ทำงานประสานกับกับสหรัฐฯ และอียิปต์ มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการจัดการเจรจาระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอล หลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงก็ตาม
ความเคลื่อนไหวของกาตาร์ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับ การเปิดเผยรายงานของสำนักงานสิทธิมนุษยชนสประชาชาติที่ระบุว่าตลอดช่วง 6 เดือนแรกของสงครามในฉนวนกาซาผู้เสียชีวิตมาก ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เป็นเด็กและผู้หญิง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของกองทัพอิสราเอลที่มีการละเมิดอย่างเป็นระบบต่อหลักการพื้นฐานด้านกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
รายงานดังกล่าวยังระบุว่า 80 เปอร์เซนต์ของผู้เสียชีวิตถูกสังหหารในอาคารที่พักอาศัย หรือ บ้านเรือน โดยมีหลายครอบครั้วที่เด็ก ผู้หญิง และ คนชรา ถูกสังการพร้อมๆ กันขณะอยู่ภายในบ้าน
นาย โวลเกอร์ เติร์ก (Volker Türk) ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติกล่าวว่าการเสียชีวิตของพลเรือนเป็นผลลัพธ์โดยตรงจากความล้มเหลวในการปฏิบัติตามหลักด้านมนุษยธรรมระหว่างสู้รบ ทั้งการแยกแยะเป้าหมาย การใช้กำลังตามความเหมาะสม และการแจ้งเตือนก่อนการโจมตี