อีกประเทศที่อาจต้องเผชิญสภาวะสูญญากาศทางการเมืองไม่ต่างจากเกาหลีใต้ คือ ฝรั่งเศส โดย มิเชล บาร์นิเยร์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ถูกบังคับให้ต้องลงจากตำแหน่ง หลังจากเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. ทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาเห็นชอบไม่ไว้วางใจ ด้วยคะแนนเสียง 331 เสียง จากทั้งหมด 577 เสียง
ทำให้ บาร์นิเยร์ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสคนแรกที่แพ้โหวตไม่ไว้วางใจนับตั้งแต่ปี 1962 และทำสถิติเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีวาระสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ เพียง 91 วัน
สำหรับญัตติไม่ไว้วางใจ บาร์นิเยร์ ถูกยื่นโดย พรรคฟรานซ์ อันโบลด์ ฝ่ายซ้ายจัด กับพรรคเนชันแนล แรลลี ของ มารีน เลอ เปน เมื่อวันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม เนื่องจาก บาร์นิเยร์ พยายามใช้อำนาจพิเศษ ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณประจำปี โดยข้ามขั้นตอนการลงมติของรัฐสภา
หลังการลงมติ มาทิลเด ปาโนต์ แกนนำ สส.พรรคฟรานซ์ อันโบลด์ เรียกร้อง ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ซึ่งเป็นผู้เลือก บาร์นิเย เป็นนายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแก้ไขปัญหาการเมืองของประเทศที่ยังไร้ทางออก
ขณะที่ เลอ เปน ระบุว่า ผลการลงมติที่เกิดขึ้นไม่ใช่ชัยชนะ และเธอจะไม่เรียกร้องให้ ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ลาออก โดยการจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือไม่นั้น มาครง จะเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเอง
โดยในช่วงเย็นวันที่ 5 ธันวาคม ประธานาธิบดี มาครง จะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ซึ่งที่ผ่านมา ผู้นำฝรั่งเศสยืนยันจะไม่ลาออก
หลังจากนี้คาดกันว่า คณะรัฐมนตรีของ บาร์นิเยร์ จะทำหน้าที่รักษาการไปก่อน จนกว่าประธานาธิบดี มาครง จะเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะเขาถูกบีบให้ต้องเอาใจสมาชิกสภาทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ที่มี สส. ในสภาเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3
สำหรับการเมืองฝรั่งเศสแบ่งเป็น 3 ขั้วอำนาจ หลังกลุ่มพันธมิตรพรรคฝ่ายซ้าย นิว ป๊อปปูลาร์ ฟรอนต์ ชนะการเลือกตั้งรัฐสภาฝรั่งเศสเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เหนือกว่ากลุ่มอองซอมเบล พันธมิตรการเมืองของประธานาธิบดีมาครง และพรรค RN ของ เลอ เปน
โดยกลุ่มนิว ป๊อปปูลาร์ ฟรอนต์ คาดหวังว่า ประธานาธิบดีมาครง จะเลือกนายกฯ ที่มาจากขั้วฝ่ายซ้าย แต่ปรากฎว่าผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้กลายเป็น บาร์นิเยร์ ซึ่งมีแนวคิดขวากลาง