“คารีน ฌอง-ปิแอร์” โฆษกทำเนียบขาวของสหรัฐฯ แถลงว่า รัฐบาลวอชิงตันกำลังติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในซีเรียอย่างใกล้ชิด หลังกองกำลังฝ่ายกบกฎต่อต้านประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด เปิดฉากโจมตีสายฟ้าแลบ เมื่อกว่า 1 สัปดาห์ก่อน และรุกคืบเข้ายึดหลายเมืองสำคัญ รวมถึง เมืองอเลปโป และเมืองฮามา
ขณะที่ล่าสุด กลุ่มกบฎอ้างว่า สามารถเข้าประชิดชานเมืองฮอมส์ เมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศได้แล้ว ส่งผลให้ประชาชนหลายหมื่นคนเร่งอพยพออกจากบ้านเรือนเพื่อความปลอดภัย
ก่อนหน้านี้ “เจค ซัลลิแวน” ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มกบฎจะพยายามใช้สถานการณ์ที่ผู้สนับสนุนหลักของประธานาธิบดีอัสซาด ได้แก่ อิหร่านและรัสเซีย ถูกเบี่ยงเบนความสนใจและอ่อนแอลงจากความขัดแย้งในจุดอื่น
ในตอนนี้ รัสเซียกำลังหมกมุ่นอยู่กับสงครามในยูเครน ส่วนอิหร่านอ่อนแอลงจากปฏิบัติการโจมตีของอิสราเอลถล่มพันธมิตรอย่างกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน
ขณะที่เจ้าหน้าที่รัสเซียและอิหร่าน คาดว่าจะหารือกับเจ้าหน้าที่ตุรกีในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เกี่ยวกับการตอบสนองต่อความขัดแย้งในสงครามกลางเมืองซีเรียที่พุ่งสูงขึ้น
กองกำลังกบกฎเริ่มโจมตีรัฐบาลซีเรียครั้งใหญ่สุดในรอบหลายปี เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และรุกคืบไปทางใต้ ซึ่ง “ฮอมส์” เป็นจุดแวะพักถัดไปบนเส้นทางมุ่งหน้าสู่กรุงดามัสกัส เมืองหลวงของประเทศ
การรุกคืบของฝ่ายกบกฎถือเป็นการรุกคืบในสนามรบที่รวดเร็วที่สุดของทั้งสองฝ่าย ตั้งแต่สงครามกลางเมืองในซีเรียเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของกองทัพซีเรียในขณะนี้
ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีทหารราว 900 นาย ประจำการอยู่ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียเป็นหลัก เพื่อสนับสนุนกองกำลังพันธมิตรชาวเคิร์ด อย่างกองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (SDF) ภายหลังการแทรกแซงของสหรัฐฯ ในปี 2014