การเปิดตัวของ DeepSeek แชตบอต AI ต้นทุนต่ำ สัญชาติจีน กับคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา กำลังท้าทายบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ในฝั่งตะวันตก ที่เคยเป็นเจ้าตลาดปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และยังสะท้อนให้เห็นว่า มาตรการกีดกันด้านเทคโนโลยี และนโยบาย America First ของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งเน้นปกป้องผลประโยชน์ของคนอเมริกัน นอกจากจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว อาจเป็นตัวเร่งให้จีนสำเร็จเร็วขึ้นด้วย
กลายเป็นปรากฏการณ์ที่อาจเปลี่ยนสมดุลอำนาจเทคโนโลยีโลก เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าสตาร์ทอัพน้องใหม่มาแรงจากเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียงของจีน ที่เพิ่งก่อตั้งบริษัทเมื่อปลายปี 2023 และยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จะสามารถเปิดตัวโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพและความสามารถเทียบชั้นกับระบบ AI ของค่ายใหญ่จากสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT ของ OpenAI ซึ่งมีไมโครซอฟต์หนุนหลังอยู่ และ Gemini ของกูเกิล แถม AI แดนมังกร ยังสามารถทำลายข้อจำกัดเดิมๆ ที่ว่าการพัฒนา AI ต้องทุ่มงบจำนวนมหาศาลและต้องพึ่งพาเทคโนโลยีชิปล้ำสมัยเท่านั้น เพื่อให้ระบบได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง
การมาของ DeepSeek เขย่าวงการไอทีโลก เพราะแค่เปิดตัว ก็ยังทำให้ตลาดหุ้นเทคสหรัฐฯ ปั่นป่วน มูลค่าตลาดของบรรดาบิ๊กเทค หายวับไปกับตาถึง 34 ล้านล้านบาท ทำให้ทรัมป์ถึงกับต้องออกมาเตือนบรรดาผู้เล่นในอุตสาหกรรม AI ของสหรัฐฯ ให้มุ่งมั่นเพื่อรักษาความเป็นผู้นำเอาไว้
"การเปิดตัวของ DeepSeek ระบบ AI จากบริษัทจีน ควรเป็นเครื่องเตือนสติให้อุตสาหกรรมของเราว่าควรมุ่งมั่นตั้งใจแข่งขันเพื่อให้ชนะ เพราะเรามีนักวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดในโลก แม้แต่ผู้นำจีนก็ยังพูดแบบนั้น" โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าว
ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามสกัดความก้าวหน้าของจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสำคัญ ด้วยการห้ามบริษัท Nvidia (อินวิเดีย) ผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ ขายชิปที่ใช้สำหรับปัญญาประดิษฐ์ให้กับจีน อาทิ ชิป H100 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปที่ทรงพลังและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลก โดยชิปที่บริษัทได้รับอนุญาตให้ขายให้จีน ต้องเป็นเวอร์ชันลดสเปกลงแล้วเท่านั้น
สหรัฐฯ อ้างว่าทำไปเพื่อความมั่นคงของชาติ เพราะกลัวว่า จีนจะแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี AI จากสหรัฐฯ หากสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีจากซิลิคอนวัลเลย์ได้ทั้งหมด นั่นหมายความว่า การที่จีนสามารถพัฒนาโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพในสภาพที่ถูกกีดกันเช่นนี้ได้ ก็ต้องมีความชาญฉลาดและมีศักยภาพในตัวไม่น้อย
หลายคนถึงขั้นบอกว่า DeepSeek มาเพื่อหักหน้ารัฐบาลสหรัฐฯ ไล่ตั้งแต่รัฐบาลทรัมป์สมัยแรก รัฐบาล โจ ไบเดน และวนกลับมาที่ทรัมป์อีกรอบ เพราะข้อจำกัดเหล่านี้ บีบให้จีนจนมุม และกลายเป็นตัวกระตุ้นให้บริษัทเทคของจีน ต้องหาทางหลบเลี่ยง หรือสร้างชิปของตัวเองขึ้นมาใช้
แกรี มาร์คัส นักวิจัยด้านเอไอ โพสต์โซเชียลว่า เราไปช่วยส่งเสริมจีนทางอ้อมแบบไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า เกมได้เปลี่ยนไปแล้วตอนนี้ จึงเริ่มมีความกังวลกันว่า แนวทางการใช้นโยบายเพื่อข่มขู่คุกคาม หรือลงโทษ แบบที่ทรัมป์ชอบใช้กับจีน จะทำให้เกิดผลลัพธ์ตรงข้ามในเรื่องใดได้อีก แล้วรัฐบาลทรัมป์ต้องแก้เกมเรื่องนี้อย่างไร
ด้าน เอ็ด มิลส์ นักวิเคราะห์นโยบายสหรัฐฯ จากบริษัทด้านการลงทุน Raymond James เชื่อว่า ทรัมป์จะเดินหน้าตามแนวทางเดิม และตอนนี้ เขาก็รายล้อมไปด้วยที่ปรึกษาที่เป็นสายเหยี่ยวต่อต้านจีน อาทิ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ฯ ฉะนั้น หากดูจากทีมงานของเขาเป็นสำคัญ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่มาตรการสกัดสูงจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่ลดลง
"ประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อมั่นในการรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของอเมริกา และนั่นคือเหตุผลที่เขาใช้มาตรการฝ่ายบริหารที่แข็งกร้าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ยกเลิกกฎระเบียบที่ยุ่งยากบางส่วนต่ออุตสาหกรรม AI นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้แต่งตั้ง เดวิด แซกส์ หัวหน้าฝ่าย AI และคริปโตฯ คนแรกของทำเนียบขาวด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งฉันได้คุยกับเขาเมื่อวานนี้ เขารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี และทีมงานของเขากำลังทำงานเพื่อให้แน่ใจว่าอเมริกาจะยังเป็นผู้นำด้าน AI ต่อไป สำหรับผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ฉันได้พูดคุยกับ NSC (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) เมื่อเช้านี้ พวกเขากำลังตรวจสอบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเมื่อฉันมีข้อมูลอัปเดต ฉันจะแบ่งปันข้อมูลนี้ให้คุณทราบ" เอ็ด มิลส์ นักวิเคราะห์นโยบายสหรัฐฯ กล่าว
ทั้งนี้ฝ่ายที่สนับสนุนให้ใช้นโยบายแข็งกร้าวกับจีน เชื่อว่า หากทรัมป์เพิ่มแรงกดดันจีนในเรื่อง AI ต่อไป ความฝันด้านเอไอของจีนอาจพังทลายลง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่สามารถฟันธงได้แน่ชัดว่า DeepSeek จะเข้ามาเปลี่ยนเกมได้มากน้อยเพียงใด เพราะผู้เชี่ยวชาญบางส่วนโต้แย้งว่าความสำเร็จของ Deepseek แท้จริงแล้วอาจเกิดจากการที่จีนกักตุนชิปล้ำสมัยไว้ตั้งแต่ก่อนจะถูกสหรัฐฯ กีดกัน คว่ำบาตรการส่งออก หรือไม่ก็ใช้วิธีซื้อชิปเอไอจากในตลาดมืด
เจฟฟรีย์ ซอนเนนเฟลด์ (Jeffrey Sonnenfeld) รองคณบดีอาวุโสด้านการศึกษาภาวะความเป็นผู้นำ ที่โรงเรียนบริหารธุรกิจเยล เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า นี่มันคล้ายกับปรากฏการณ์ของ Sputnik ดาวเทียมดวงแรกของโลกที่ไปอวกาศ และทำให้รัสเซียชนะสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่า นี่เป็นการพึ่งพาตลาดเอกชนที่มีการแข่งขันกันอย่างแท้จริง โดยไม่พึ่งรัฐบาลหรือนโยบายส่งเสริมระดับชาติ
"สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ DeepSeek คือ นี่เป็นเหมือนบริษัทเอกชนที่ก่อตั้งโดย เหลียง เหวินเฟิง ซึ่งบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของตนเอง กองทุนเชิงปริมาณ และให้ทุนกับบริษัทเกือบทั้งหมด"
"DeepSeek อ้างว่าสามารถฝึก AI โดยใช้ระบบที่น้อยกว่ามาก และเทคโนโลยีชิปที่ด้อยกว่ามาก และใช้เวลาไม่นานนัก ดังนั้นหากเป็นเรื่องจริง ซึ่งก็อาจมีคนไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และผู้เชี่ยวชาญในแวดวงนี้กำลังพิจารณากันอยู่ แต่หากเป็นเรื่องจริง ก็อาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปสู่ยุคของการพัฒนา AI ที่เน้นระบบที่น้อยลง" เจฟฟรีย์ ซอนเนนเฟลด์ กล่าว
ด้านอเล็กซานเดอร์ หวัง ซีอีโอของ สเกล เอไอ สตาร์ทอัพยูนิคอร์น ของสหรัฐฯ ให้ความเห็นกับสำนักข่าว CNBC โดยเชื่อว่า DeepSeek น่าจะแอบใช้ชิปล้ำสมัยของอินวิเดีย จำนวน 50,000 ตัว แต่เปิดเผยไม่ได้เนื่องจากละเมิดมาตรการควบคุมการส่งออกชิปเอไอขั้นสูงให้จีน
อาร์ต โฮแกน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การตลาดของ B. Riley Wealth Management เรียกร้องให้นักลงทุนพิจารณาคำกล่าวอ้างของ DeepSeek ด้วยวิจารณญาณ เพราะยังไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมมาสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง ทั้งเรื่องงบประมาณที่ใช้พัฒนา AI และระดับเทคโนโลยีที่ใช้ จีนอาจอ้างว่าสามารถคิดค้นอาวุธลับได้แล้ว แต่ที่จริง คำกล่าวอ้างของจีนก็อาจจะเป็นเหมือนคำโกหกของเด็กนักเรียนมัธยมที่อวดว่าตัวเองมีแฟน แต่เธอเรียนอยู่คนละโรงเรียน ซึ่งนั่นคือเหตุผลว่าทำไมนักเศรษฐศาสตร์ตะวันตกจึงมีความกังขาเกี่ยวกับความถูกต้องของตัวเลขสถิติเศรษฐกิจจีนมาโดยตลอด
ทั้งนี้หาก DeepSeek สามารถหาช่องทางเข้าถึงชิปขั้นสูงได้อย่างที่หลายฝ่ายกลัวกัน นั่นหมายถึง รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องยกระดับควบคุมการส่งออกให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยปัจจุบัน มีการซื้อขายชิปขั้นสูงกันอย่างคึกคักในตลาดมืด และบางครั้ง ก็ยังมีช่องโหว่ในการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออก
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ สมัยรัฐบาลไบเดน ยอมรับว่า มาตรการจำกัดการส่งออก ยังต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นอีก เพราะมันเป็นกระบวนการแบบวนซ้ำ พอเราเรียนรู้ พวกเขาก็เรียนรู้ พอเราเรียนรู้ใหม่ พวกเขาก็เรียนรู้ตาม นอกจากนี้ ซัลลิแวนยังตั้งข้อสังเกตว่าจีนพยายามที่จะเอาชนะมาตรการจำกัดการส่งออก โดยเน้นย้ำถึงเป้าหมายด้าน AI ของตนเอง และประกาศกร้าวว่าจะทะลายข้อจำกัดและอุปสรรคต่างๆ ให้ได้
ขณะเดียวกัน หุ้นเทคที่สั่นคลอน หลังการมาของ DeepSeek ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ของตลาดหุ้นเทคในปัจจุบัน ที่ร้อนแรงมากเกินไป จากกระแสเห่อ AI ที่เพิ่งเกิดใหม่ ทำให้นักลงทุนแห่มาลงทุนในด้านนี้แบบไม่ลืมหูลืมตา จนเสี่ยงต่อภาวะเกิดฟองสบู่
ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า ผลกระทบของ DeepSeek เป็นสัญญาณว่าบัลลังก์อำนาจของ AI กำลังย้ายไปที่ซีกโลกตะวันออก และมีความเป็นไปได้สูงที่่ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมทั่วโลกจะได้รับแรงบันดาลใจจาก DeepSeek และลุกขึ้นมาพยายามพัฒนาเทคโนโลยี AI ต้นทุนต่ำของตนเองบ้าง
ตอนนี้ สิ่งที่เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลสหรัฐฯ น่าจะตระหนักดีจากการปรากฏตัวของ DeepSeek คือ สหรัฐฯ จะต้องเข้าสู่สงครามเอไอ และศึกนี้ก็มาเร็วกว่าที่คิด แต่อาจจะใช้งบประมาณน้อยกว่าที่สหรัฐฯ คาดไว้