สำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ (NIS) ออกแถลงการณ์ว่า นับตั้งแต่กลางเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ทหารเกาหลีเหนือไม่ได้มีส่วนร่วมกับการสู้แนวหน้าในภูมิภาคเคิร์สก์ทางตะวันตกของรัสเซียแล้ว โดยหนึ่งในเหตุผลที่อาจเป็นไปได้ คือการที่กองทัพเกาหลีเหนือสูญเสียกำลังพลเป็นจำนวนมากจากสมรภูมิครั้งนี้
โดยในช่วงต้นเดือน ม.ค. สำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ได้แจ้งต่อสมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้ว่า มีทหารเกาหลีเหนือเสียชีวิตประมาณ 300 นาย และ บาดเจ็บอีก 2,700 นาย
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ระบุว่า กำลังจับตาและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียดเพื่อหากับต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกาหลีเหนือถอนทหารออกจากแนวรบในรัสเซีย
การเปิดเผยดังกล่าวของหน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้เกิดขึ้น สอดคล้องกับรายงานเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาของหน่วยปฏิบัติการพิเศษกองทัพยูเครนที่ระบุว่า ไม่พบความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกิจกรรมทางทหารของกองทัพเกาหลีเหนือในภูมิภาคเคิร์สก์ตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่าเกาหลีเหนือถอนทหารของตัวเองออกไปแล้ว เนื่องจากเกิดความสูญเสียอย่างหนัก
ขณะที่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของชาติตะวันตกเปิดเผยเมื่อปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาว่า ตลอดระยะเวลา 3 เดือนของการสนับสนุนภารกิจของกองทัพรัสเซียในภูมิภาคเคิร์สก์ เกาหลีเหนือสูญเสียทหารแล้วประมาณ 4,000 นาย ในการสู้รบกับยูเครน ที่ภูมิภาคเคิร์สก์ จากจำนวนทหารราว 11,000 นาย ซึ่งถูกส่งเข้าสู่สนามรบดังกล่าว
โดย “ความสูญเสีย” ในทางทหาร มีทั้ง การเสียชีวิต การได้รับบาดเจ็บ การสูญหาย และการถูกจับเป็นเชลยศึก โดยจากจำนวนทหารเกาหลีเหนือราว 4,000 นาย ซึ่งมีการประเมินว่า “สูญเสีย” น่าจะรวมถึงการเสียชีวิตของทหารราว 1,000 นาย จนถึงช่วงกลางเดือน ม.ค.
สำหรั้บชะตากรรมของทหารเกาหลีเหนือที่ได้รับบาดเจ็บนั้น ยังไม่มีความชัดเจนว่าได้รับการรักษา หรือได้รับการเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่แห่งอื่นที่ปลอดภัยกว่าหรือไม่.
ส่วนความเคลื่อนไหวของฝ่ายยุเครน ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของอังกฤษ โดยระบุว่าหากยูเครนไม่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต ได้ ชาติพันธมิตรตะวันตกควรสร้างหลักประกันด้านความมั่นคงในอนาคตให้กับยูเครนด้วยการช่วยเหลือด้านอื่นๆทั้งการส่งมอบอาวุธนิวเคลียร์ ระบบยิงขีปนาวุธ การจัดสรรงบประมาณสนับสนุนกองทัพยูเครน และการส่งกำลังทหารดูแลเข้ามาดูแลพื้นที่ของยูเครน
นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนยังยืนยันว่าพร้อมเจรจากับรัสเซีย หากการพูดคุยเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถยุติสงครามและการสูญเสียชีวิตประชาชน