แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การยุติหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือการออกคำสั่งฝ่ายบริหารมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดังกล่าวจัดทำแผนลดขนาดของกระทรวง อีกส่วนคือการผลักดันให้สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายยุติการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการ
โดยในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรก ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยเสนอแผนควบรวมระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงาน ให้เป็นหน่วยงานเดียวกัน แต่ยังไม่สามารถผ่านขั้นตอนของฝ่ายนิติบัญญัติได้
ก่อนหน้านี้ พรรครีพับลิกันได้วิพากษ์วิจารณ์กระทรวงศึกษาธิการภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดนอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการยกหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับโครงการความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก หรือ DEI
สำหรับระบบการศึกษาในสหรัฐฯมีผู้รับผิดชอบหลักคือองค์กรระดับรัฐ หรือส่วนท้องถิ่น โดยกระทรวงศึกษาธิการซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1979 ในยุคของอดีตประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ มีหน้าที่ให้เงินสนับสนุนและช่วยเหลือ เช่นโครงการ "ไทเทิล วัน" (Title One) ที่ให้เงินอุดหนุนพิเศษแก่โรงเรียนที่นักเรียนส่วนใหญ่มีฐานะยากจน
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งถอนตัวจากกองค์กรในสังกัดสหประชาชาติ ที่รวมถึงคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) และสำนักงานบรรเทาทุกข์และการทำงานของสหประชาชาติเพื่อผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (UNRWA)
นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวยังรวมถึงการทบทวนบทบาทของสหรัฐฯ ในองค์การยูเนสโก โดยทีมงานของทำเนียบขาวระบุว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้เป็นการประท้วงหย่วยงานสหประชาชาติเหล่านี้ที่มีอคติต่อสหรัฐฯ