การเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่มีสหรัฐฯ เป็นคนกลาง ดูเหมือนจะไม่จบลงง่าย ๆ หลังเมื่อวันที่ 23 เม.ย. ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมากล่าวหาว่า ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี กำลังทำลายการเจรจาสันติภาพ หลังเซเลนสกีบอกว่า ไม่ว่ายังไงยูเครนก็จะไม่ยอมรับการครอบครองภูมิภาคไครเมียของรัสเซีย
ทรัมป์โพสต์บน Truth Social ว่า ข้อตกลงยุติสงคราม “ใกล้จะสำเร็จ” แล้ว แต่การที่เซเลนสกีปฏิเสธที่จะยอมรับเงื่อนไขของสหรัฐฯ “จะไม่ส่งผลอะไรเลยนอกจากยืดเวลาความขัดแย้ง”
ยูเครนกล่าวมาเป็นเวลานานแล้วว่า จะไม่ยอมยกไครเมีย ซึ่งเป็นคาบสมุทรทางใต้ ที่ถูกรัสเซียผนวกไปอย่างผิดกฎหมายในปี 2014
เมื่อผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวถามทรัมป์ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการยอมรับอำนาจอธิปไตยของรัสเซียเหนือไครเมียหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่าเขาต้องการเห็นสงครามยุติลงเท่านั้น “ผมไม่ได้ชอบใครเป็นพิเศษ ผมต้องการให้บรรลุข้อตกลงเท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม การยอมรับการครอบครองไครเมียโดยมิชอบของรัสเซียไม่เพียงแต่เป็นไปไม่ได้ทางการเมืองสำหรับเซเลนสกีเท่านั้น แต่ยังขัดต่อบรรทัดฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศหลังสงครามที่ระบุว่า ไม่ควรทำให้เกิดการเปลี่ยนพรมแดนด้วยกำลัง
เขาปฏิเสธข้อเสนอที่ให้ประเทศของเขาสละการอ้างสิทธิ์ในคาบสมุทรไครเมียมาโดยตลอด “ไม่มีอะไรต้องพูด เรื่องนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญของเรา”
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ทรัมป์กล่าวว่า การพูดคุยกับรัสเซียเป็นเรื่องง่ายกว่าการคุยกับยูเครน “ผมคิดว่ารัสเซียพร้อมแล้ว”
ทรัมป์เสริมว่า เขาเชื่อว่ากำลังใกล้บรรลุข้อตกลงกับรัสเซียแล้ว แต่กับยูเครนยังไม่บรรลุ “ผมคิดว่าการคุยกับเซเลนสกีอาจจะง่ายกว่า แต่จนถึงตอนนี้กลายเป็นว่ามันยากกว่า”
ขณ.เดียวกัน ก่อนหน้านี้ เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของสหรัฐฯ สำหรับข้อตกลงดังกล่าว โดยกล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าวจะ “หยุดการขยับเส้นแบ่งเขตดินแดน โดยจะอยู่ใกล้กับจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
แวนซ์กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ทั้งยูเครนและรัสเซีย “ต้องยอมสละพื้นที่บางส่วนที่ตนเป็นเจ้าของอยู่ในปัจจุบัน” แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดต่อสาธารณะว่า รัสเซียและยูเครนต้องยอมประนีประนอมพื้นที่ใดบ้าง
รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังเตือนว่า สหรัฐฯ จะออกจากบทบาทในการเจรจาหากรัสเซียและยูเครนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำความคิดเห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของทรัมป์และมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ
ด้าน แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ประธานาธิบดีรู้สึกหงุดหงิด ความอดทนของเขาเริ่มหมดลงแล้ว”
เรียบเรียงจาก BBC