มีรายงานว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ ชิ้นส่วนของยานอวกาศยุคโซเวียตจะตกกลับมายังพื้นโลก โดยอาจมีความเสี่ยงระดับหนึ่งที่จะทำให้เกิดอันตราย
ชิ้นส่วนดังกล่าวถูกตั้งรหัสว่า “คอสมอส 482” (Kosmos 482) โดยไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับรูปร่างและขนาดที่แน่นอนของชิ้นส่วนดังกล่าว แต่นักวิจัยเชื่อว่าเป็น “แคปซูล” ซึ่งได้รับการออกแบบให้ทนต่ออุณหภูมิและความดันที่รุนแรงบนดาวศุกร์ ซึ่งมีชั้นบรรยากาศหนาแน่นกว่าโลกถึง 90 เท่า
ชิ้นส่วนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของยานอวกาศในโครงการ “เวเนรา” (Venera) ของสหภาพโซเวียต สร้างขึ้นเพื่อเดินทางไปดาวศุกร์โดยเฉพาะ ถูกส่งขึ้นไปยังอวกาศเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 1972 หรือ 53 ปีที่แล้ว แต่เกิดขัดข้องระหว่างเดินทาง ทำให้ติดอยู่ในอวกาศตั้งแต่นั้นมา
การคาดการณ์ส่วนใหญ่คาดว่า ชิ้นส่วนดังกล่าวจะกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกในราววันที่ 9-10 พ.ค. แต่ไม่ยืนยัน 100%
ทั้งนี้ หากเป็นแคปซูลจริง มันอาจมีการติดตั้งเกราะป้องกันความร้อนขนาดใหญ่ไว้ ซึ่งหมายความว่าคอสมอส 482 “อาจรอดจากการเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกและตกลงสู่พื้นโลก” ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อผู้คนบนพื้นดิน
ดร.โจนาธาน แม็กดาวเวลล์ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และนักดาราศาสตร์จากศูนย์ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ฮาร์วาร์ด-สมิธโซเนียน กล่าวว่า ความเสี่ยงที่วัตถุจะพุ่งชนผู้คนบนพื้นโลกนั้นน่าจะน้อยมาก และไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมาก “แต่คุณคงไม่อยากให้มันกระแทกหัวคุณหรอก”
โครงการ Venera ของโซเวียตได้ส่งยานสำรวจไปยังดาวศุกร์หลายลำในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 โดยหลายลำรอดจากการเดินทางและส่งข้อมูลและภาพกลับมายังโลกได้ก่อนจะหยุดทำงาน
ยานอวกาศสองลำภายใต้โครงการดังกล่าว คือ V-71 หมายเลข 670 และ V-71 หมายเลข 671 ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศในปี 1972 แต่มีเพียงลำเดียวเท่านั้นที่เดินทางไปยังดาวศุกร์ได้สำเร็จ คือ V-71 หมายเลข 670 ปฏิบัติการบนพื้นผิวของดาวศุกร์เป็นเวลาประมาณ 50 นาทีก่อนจะหยุดทำงาน ส่วน V-71 หมายเลข 671 ทำไม่สำเร็จ และทำให้เกิดเศษซากลอยอยู่ในอวกาศ
ตั้งแต่ช่วงปี 1960 เป็นต้นมา ซากยานของโซเวียตที่โคจรอยู่ในวงโคจรของโลกแต่ละลำจะได้รับชื่อรหัสคอสมอสและหมายเลขอ้างอิงเพื่อวัตถุประสงค์ในการติดตาม
เศษซากหลายชิ้นเกิดจากความล้มเหลวของยาน V-71 หมายเลข 671 โดยอย่างน้อย 2 ชิ้นได้หลุดออกจากวงโคจรของโลกไปแล้ว แต่บรรดานักวิจัยเชื่อว่า ชิ้นที่คาดว่าจะตกลงสู่โลกในสัปดาห์นี้คือแคปซูลรูปทรงกระบอก หรือคอสมอส 482 เนื่องจากลักษณะการโคจรของชิ้นส่วนนี้
มาร์ลอน ซอร์เก ผู้เชี่ยวชาญด้านเศษซากในอวกาศจากกลุ่มวิจัยที่ได้รับทุนจากรัฐบาลกลาง The Aerospace Corporation กล่าวว่า “ชิ้นส่วนนี้มีความหนาแน่นค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เนื่องจากเคยโคจรในจุดต่ำสุด แต่ไม่ได้สลายตัวไปเป็นเวลาหลายทศวรรษ ดังนั้น ชิ้นส่วนนี้จึงมีลักษณะเหมือนลูกโบว์ลิง”
ซอร์เกเสริมว่า แม้ว่าชิ้นส่วนนี้จะติดตั้งร่มชูชีพไว้ แต่ก็ไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว นั่นหมายความว่าร่มชูชีพนั้นไม่น่าจะกางออกในเวลาที่เหมาะสมหรือช่วยชะลอการลงจอดของยานได้
ตามการคำนวณของ The Aerospace Corporation ซอร์เกกล่าวว่า โอกาสที่คอสมอส 482 จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงนั้นอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 25,000 ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่ต่ำกว่าเศษซากอวกาศชิ้นอื่น ๆ มาก
ด้าน มาร์โก แลงบรูก อาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านการจราจรในอวกาศจากมหาวิทยาลัยเทคนิคเดลฟต์ในเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า หากยานคอสมอส 482 ตกลงสู่พื้นโลก ก็มีแนวโน้มว่าพื้นที่ตกจะอยู่ระหว่างละติจูด 52 องศาเหนือถึง 52 องศาใต้
“พื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่และประเทศสำคัญหลายแห่ง ได้แก่ ทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาใต้ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา บางส่วนของแคนาดา บางส่วนของยุโรป และบางส่วนของเอเชีย” แลงบรูกกล่าว
เขาเสริมว่า “แต่เนื่องจาก 70% ของโลกของเราเป็นน้ำ โอกาสที่มันจะลงเอยในมหาสมุทรจึงมีสูงกว่า”
ซอร์เกเน้นย้ำว่า หากคอสมอส 482 ตกลงสู่พื้นโลก สิ่งสำคัญคือ ผู้คนที่ผ่านไปมาจะต้องไม่ไปสัมผัสเศษซากนั้น เพราะยานอวกาศที่เก่าอาจมีการรั่วไหลของเชื้อเพลิงอันตรายหรือก่อให้เกิดความเสี่ยงอื่น ๆ ต่อผู้คนและทรัพย์สิน
ขณะที่ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ จิสด้า (GISTDA) โดยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีอวกาศ แจ้งว่า ขณะนี้ชิ้นส่วนอวกาศคอสมอส 482 โคจรห่างจากพื้นโลกประมาณ 150 กิโลเมตร และมีแนวโน้มจะตกในช่วงวันที่ 10 พ.ค. เวลา 04.13 น. ตามเวลาประเทศไทย
จิสด้าคาดว่า จุดตกของชิ้นส่วนยานอวกาศจะอยู่ในพื้นที่ของประเทศรัสเซีย แต่จะสามารถคาดการณ์ได้แม่นยำก็ต่อเมื่อชิ้นส่วนยานอยู่ห่างจากพื้นโลกโดยเฉลี่ยไม่เกิน 130 กิโลเมตร ทั้งนี้ สำหรับความเสี่ยงที่มีต่อประเทศไทยอยู่ที่ 0.22% เท่านั้น
เรียบเรียงจาก CNN